วารสารศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์ไทย

เล่มที่ 2 ฉบับที่ 2 – พฤษภาคม 2025


การปกป้องทางศาสนศาสตร์ของหลักคำสอนเรื่องพระเจ้าตรีเอกภาพ ความเป็นพระบุตรนิรันดร์ของพระคริสต์ และการรับสภาพมนุษย์ที่แท้จริง: การหักล้างคำสอนนอกรีต Heresy ของ Bright Romance เเสงสว่างเเห่งรักที่เเท้จริง

วันที่: 21 พฤษภาคม 2025

โดย: ศจ.ดร. จันทร์สมร ชัยศักดิ์ (Professor of Religious Studies and Missiology) กรรมาธิการศาสนศาสตร์และคำสอน ของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย และ ของสหกิจฯ เอเชีย Asia Evangelical Alliance

บทคัดย่อ

บทความนี้นำเสนอการคัดค้านตามหลักการของพระคัมภีร์และทางประวัติศาสตร์ ศาสนศาสตร์ต่อคำสอนอันเป็นสาธารณะของ Bright Romance เเสงสว่างเเห่งรักที่เเท้จริง (สิทธิโชค เสรีธรณกุล) นักเทศน์ชาวไทยซึ่งพันธกิจของเขาสะท้อนถึงคำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา (Heresy) หลายประการ อันเป็นสิ่งที่คริสตจักรสากลได้ประณามมาอย่างยาวนาน บทความนี้ประเมินการปฏิเสธของ Bright Romance (เเสงสว่างเเห่งรักที่เเท้จริง) ในเรื่องความแตกต่างระหว่างพระบุคคลภายในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ การบังเกิดนิรันดร์ของพระบุตร (The eternal generation of the Son) และ การรับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์ที่แท้จริง (The true Incarnation of Christ) โดยอ้างอิงจากพระคัมภีร์ บทบัญญัติแห่งความเชื่อไนซีน (Nicene Creed) และบทบัญญัติแห่งความเชื่ออาทานาเชียน (Athanasian Creed)1 ตลอดจนงานเขียนของปิตาจารย์แห่งคริตจักรยุคแรก อาทิ เทอร์ทิวเลียน (Tertullian) ผลจากการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ศาสนศาสตร์ของ Bright Romance มีความคล้ายคลึงอย่างมากกับคำสอนผิดเพี้ยนในยุคโบราณ ได้แก่ ลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism), ลัทธินอกรีตแพทริแพสเซียนิซึม (Patripassianism) และ ลัทธินอกรีตอะดอปชะนิซึม (Adoptionism) คำสอนผิดเพี้ยนเหล่านี้ฟื้นคืนชีพภายใต้รูปแบบคาริสแมติกสมัยใหม่และได้นำพาผู้คนนับพันคนไปสู่ความเข้าใจผิด อีกทั้งยังคุกคามรากฐานทางหลักคำสอนของคริสเตียนโปรเตสแตนท์ในประเทศไทย อีกทั้งบทความนี้ยังเป็นการออกคำเตือนเชิงอภิบาลไปยังบรรดาผู้นำคริสเตียนโปรเตสแตนท์ในประเทศไทย

บทนำ

ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของคริสตจักร คำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา (Heresies)2 มักจะปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้ชื่อใหม่และในบริบทใหม่ ๆ ท้าทายให้คริสตจักรต้องปกป้องความเชื่อที่ได้มอบไว้กับธรรมิกชนครั้งเดียวเป็นพอ โดยความท้าทายหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในประเทศไทยจาก พันธกิจของ Bright Romance (สิทธิโชค เสรีธรณกุล) ผู้ซึ่งคำเทศนาของเขาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ผ่านการรวมตัวของผู้คนจำนวนมากและสื่อสังคมออนไลน์ แต่เบื้องหลังความเข้มข้นทางอารมณ์ในพันธกิจของเขากลับแฝงไว้ด้วยศาสนศาสตร์ที่นำความผิดเพี้ยนทางหลักคำสอนที่คริสตจักรได้ปฏิเสธมาอย่างยาวนานกลับมานำเสนอและยืนยันใหม่อีกครั้ง ข้อผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นประกอบด้วยการปฏิเสธ ความแตกต่างระหว่างพระบุคคลภายในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ การอ้างว่าพระบิดาทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และ การลดทอนความเป็นพระบุตรของพระคริสต์ให้เป็นเพียงบทบาทหรือการมอบหมายเท่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงลัทธินอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา ได้แก่ ลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism), ลัทธินอกรีตแพทริแพสเซียนิซึม (Patripassianism) และ ลัทธินอกรีตอะดอปชะนิซึม (Adoptionism) ซึ่งเป็น คำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา (Heresy) ที่ถูกหักล้างโดยปิตาจารย์ยุคแรก อาทิ เทอร์ทิวเลียน (Tertullian) และได้รับการป้องกันไว้ใน บทบัญญัติแห่งความเชื่อไนซีน (Nicene Creed) และบทบัญญัติแห่งความเชื่ออาทานาเชียน (Athanasian Creed) โดยบทความนี้นำเสนอการปกป้องทางศาสนศาสตร์และประวัติศาสตร์ของหลักคำสอนตามหลักการของพระคัมภีร์เกี่ยวกับ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ (Triune God) ความเป็นพระบุตรนิรันดร์ของพระคริสต์ (The eternal Sonship of Christ) และ การรับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์ที่แท้จริง (The true Incarnation of Christ) พร้อมกับตอบสนองโดยตรงต่อข้ออ้างที่น่ากังวลที่สุดของ Bright Romance

แก่นแห่งความนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางคริสต์ศาสนา (Heresy) ของ Bright Romance เเสงสว่างเเห่งรักที่เเท้จริง

บทความนี้นำเสนอการปกป้องทางพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์ศาสนศาสตร์ของหลักคำสอนเรื่องพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ความเป็นพระบุตรนิรันดร์ของพระคริสต์ และการรับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์ที่แท้จริง ท่ามกลางของถ้อยแถลง (เทศนา) ต่อสาธารณะล่าสุดโดยนักเทศน์ชาวไทยของกลุ่มแสงสว่างแห่งรักที่แท้จริง (Bright Romance) สิทธิโชค เสรีธรณกุล (รู้จักในนาม แชมป์) คำสอนของเขาลดทอนความแตกต่างระหว่างพระบุคคลของพระเจ้า บิดเบือนความสัมพันธ์นิรันดร์ระหว่างพระบิดาและพระบุตร และบิดเบือนการรับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์ คำสอนเหล่านี้สะท้อนคำสอนนอกรีตโบราณอย่าง ลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism), ลัทธินอกรีตแพทริแพสเซียนิซึม (Patripassianism) และ ลัทธินอกรีตอะดอปชะนิซึม (Adoptionism) ซึ่งคริสตจักรยุคแรกได้ประณามว่าเป็นสิ่งที่ทำลายแก่นแท้ของหลักศาสนศาสตร์คริสเตียน

จอห์น เอ็น. ดี. เคลลี่ (John N. D. Kelly) นักศาสนศาสตร์ชาวอังกฤษผู้ทรงคุณวุฒิในด้านคริสต์ศาสนาสมัยแรกและศาสตราจารย์ประจำคณะศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด พร้อมด้วย หลุยส์ เบิร์คฮอฟ (Louis Berkhof) นักศาสนศาสตร์ชาวดัตช์-อเมริกัน ซึ่งดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์ ณ สถาบันศาสนศาสตร์คาลวิน ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้อธิบายลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism) ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของโมนาร์เคียนิซึม(Monarchianism) ที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องความเป็นเอกภาพของพระเจ้า ทว่าต้องแลกมาด้วยการละเลยความแตกต่างของแต่ละพระบุคคลของพระเจ้า โดย ศ.ดร.หลุยส์ เบิร์คฮอฟ สังเกตุว่า ลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism) มองพระบุคคลทั้งสามในพระเจ้าตรีเอกานุภาพเป็นเพียงรูปแบบต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ ... ในโลกตะวันตก ลัทธินี้เป็นที่รู้จักในชื่อ ลัทธินอกรีตแพทริพาสเซียนนิซึม (Patripassianism)" (Berkhof, 1969, หน้า 78–79) และ โรเจอร์ อี. โอลสัน (Roger E. Olson) นักศาสนศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้เป็นที่เคารพในด้านประวัติศาสตร์หลักข้อเชื่อและศาสนศาสตร์ระบบ และเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง รวมถึงมหาวิทยาลัยเบย์เลอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบทางศาสนศาสตร์ว่า ลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism) ไม่เคยถูกประณามอย่างเป็นทางการ และยังคงดูเหมือนเป็นภัยคุกคามอย่างมากต่อคำสอนตามความเชื่อถูกต้องของคริสต์ศาสนา (Orthodoxy) เกี่ยวกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพโดยที่ลัทธินี้ลดทอนพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้เหลือเพียงรูปแบบสามรูปแบบหรือด้านสามด้านของพระเจ้า และ เขากล่าวเป็นนัยอีกว่า แนวคิด ลัทธินอกรีตโมดาลิซึมแพทริพาสเซียนนิซึม (Patripassianism) เป็นแนวคิดที่เชื่อว่าพระบิดาทรงทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน" (Olson, 1999, หน้า 153)

การตอบสนองตามพระคัมภีร์ต่อแนวคิดลัทธินอกรีตโมดาลิซึม

Bright Romance อ้างว่า "พระองค์ลงมาสวมบทลูกทั้งๆที่พระองค์เป็นพระเจ้าผู้เป็นบิดา...วิญญาณของพระบิดามาเกิดเป็นสภาพของมนุษย์และเรียกพระองค์เองว่าพ่อ" (Bright Romance, 2025, ประทับเวลา 3:41:00–3:47:30) คำกล่าวเหล่านี้สะท้อนถึงการพังทลายอย่างสมบูรณ์ของความแตกต่างระหว่างพระบุคคลของพระเจ้า ซึ่งเป็นการยืนยันถึงคำสอนของลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism) ที่ถือว่าพระบิดาและพระบุตรไม่ใช่พระบุคคลที่แตกต่างกัน แต่เป็นเพียงระยะหรือบทบาทของพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น สิ่งนี้ขัดแย้งกับพระดำรัสของพระเยซูในพระธรรมยอห์น บทที่ 17 ข้อ 5 ที่ว่า "บัดนี้ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา" ซึ่งยืนยันอย่างชัดเจนถึงความเป็นพระบุตรที่มีอยู่ก่อนการทรงสร้างและเป็นนิรันดร์ของพระองค์ ปิตาจารย์ เทอร์ทิวเลียน ได้ปกป้องความเป็นจริงนี้ โดยกล่าวว่า "พระบิดาทรงแตกต่างจากพระบุตร เพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าพระบุตร เนื่องจากผู้หนึ่งให้บังเกิด (Begets) และอีกผู้หนึ่งได้รับการบังเกิด (Begotten)" (Tertullian, 1920, pp. 46-47) และยังชี้แจงเพิ่มเติมว่าพระเจ้าตรีเอกานุภาพนั้นเป็นหนึ่งเดียวในสารัตถะ(แก่นแท้) แต่มีสามพระบุคคล (Tertullian, 1920, p. xviii) ดังที่ ศ.ดร. โรเจอร์ อี. โอลสัน อธิบายว่า "แพรกเซียส [นักศาสนศานตร์คริสเตียน] ปฏิเสธว่าคริสเตียนเชื่อในสามบุคคลที่แตกต่างกัน...ลดทอนพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นเพียงสามด้านหรือบทบาท ของพระเจ้าหนึ่งพระบุคคล (The one-person God)" (Olson, 1999, p. 92)

ความไร้สาระของพระบิดาผู้ทรงทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน: ลัทธินอกรีตโมดาลิซึม-แพทริพาสเซียนนิซึม

Bright Romance ได้ทำให้ข้อข้อผิดเพี้ยนทางศาสนศาสตร์นี้หนักยิ่งขึ้น โดยการสอนว่าพระเจ้าได้ทรงสัญญาแก่ อับราฮัมว่าจะทรงทำให้งานของการไถ่บาปให้สำเร็จ และด้วยเหตุนี้ "เราเลยต้องลงมาสวมบทบาทมนุษย์และทำให้มันจบด้วยตัวของเราเอง" (Bright Romance, 2025, ประทับเวลา 3:41:00–3:47:30) นี่คือกรณีตัวอย่างของ ลัทธินอกรีตโมดาลิซึมแพทริพาสเซียนนิซึม (Patripassianism) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่าพระบิดาทรงทนทุกข์และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ซึ่งปิตาจารย์ เทอร์ทิวเลียนได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า "หากพระบิดาทรงถูกตรึงกางเขน มันไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น แต่มันยังเป็นสิ่งที่ไร้สาระอีกด้วย" (Olson, 1999, p. 96) คำสอนผิดเพี้ยนดังกล่าว ไม่เพียงแต่ปฏิเสธความสอดคล้องกันของข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่ยังบ่อนทำลายรากฐานการดำรงอยู่ของพระเจ้าตรีเอกานุภาพและหลักคำสอนการรับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์ (Doctrine of the Incarnation) ที่สืบทอดมาแต่โบราณอีกด้วย

การประณามของปิตาจารย์ เทอร์ทิวเลียน ต่อพรัคซีอัส นักศาสนศาสตร์คริสเตียนนอกรีต

ปิตาจารย์ เทอร์ทิวเลียน ได้ประณามข้อผิดเพี้ยนนี้อย่างตรงไปตรงมาในงานเขียนชิ้นเอกของเขาเรื่อง Adversus Praxeam โดยระบุว่ามันไม่เป็นเพียงคำสอนนอกรีตเท่านั้น แต่ยังเป็นการหลอกลวงที่แฝงมาในคราบของหลักความเชื่อที่ถูกต้องดั้งเดิม เขาเริ่มต้นงานเขียนด้วยคำเตือนอันเฉียบคมนี้ว่า “มารได้แสดงความเป็นศัตรูต่อความจริงด้วยวิธีมากมาย ในที่สุดมันได้พยายามทำลายความจริงด้วยการแสร้งทำเป็นปกป้องความจริงนั้น มันอ้างว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว เป็นผู้ทรงสร้างจักรวาลที่ทรงฤทธานุภาพ เพื่อสร้างคำสอนนอกรีตขึ้นมาแม้กระทั่งจากแนวคิดที่ว่ามีพระเจ้าองค์เดียวนี้เอง มันกล่าวว่าพระบิดาพระองค์เองเสด็จลงมาปฏิสนธิในหญิงพรหมจรรย์ พระองค์เองก็ทรงประสูติจากนาง และพระองค์เองทรงทนทุกข์ทรมาน (บนกางเขน) แม้กระทั่งว่าพระองค์เองคือพระเยซูคริสต์” (Tertullian, 1920, p. 25)

คำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา (Heresy) ในยุคปัจจุบันไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต Bright Romance สอนว่าพระบิดาเองทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นมุมมองที่ ปิตาจารย์ เทอร์ทิวเลียน ได้ตระหนักและประณามมานานกว่า 1,800 ปี ศ.ดร. โรเจอร์ อี. โอลสัน ได้ให้ความกระจ่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสอนนอกรีตของแพรกเซียสว่า "นายพรัคซีอัส (Praxeas) นักศาสนศาสตร์คริสตจักรยุคแรกจากช่วงปลายศตวรรษที่ 2 หรือต้นศตวรรษที่ 3) ปฏิเสธว่า คริสเตียนเชื่อในสามเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน...เขาลดทอนพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นเพียงสามแง่มุมหรือบทบาทของพระเจ้าหนึ่งพระบุคคล" (Olson, 1999, หน้า 92) ปิตาจารย์ เทอร์ทิวเลียน สรุปอันตรายนี้ไว้ในถ้อยคำที่มีชื่อเสียงว่า "นายพรัคซีอัส (Praxeas) ได้ทำประโยชน์สองเท่าให้กับมารที่กรุงโรม เขาขับไล่คำพยากรณ์ออกไป และนำคำสอนนอกรีตเข้ามา เขาขับไล่พระผู้ช่วยให้ออกไปและตรึงพระบิดาไว้บนไม้กางเขน" (Olson, 1999, หน้า 92) คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความฉุกเฉินทั้งในด้านการอภิบาลและหลักคำสอนที่นักศาสนศาสตร์ตามความเชื่อถูกต้องของคริสต์ศาสนา (Orthodoxy) รู้สึกในการตอบสนองต่อความผิดเพี้ยนแบบลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism)

การบิดเบือนหลักคำสอนเรื่องการรับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์

แนวคิดของ Bright Romance เกี่ยวกับการรับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์ยิ่งเพิ่มความผิดเพี้ยนเหล่านี้ให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น เขาอ้างว่า "เราจะสวมสภาพของมนุษย์ เพื่อเชื่อฟังพระเจ้า คือ เชื่อฟังเราเอง และ เราเกิดมาบนโลกมาเนี่ย 33 ปี…เรามาเกิดเป็นมนุษย์เอง" (Bright Romance, 2025, ประทับเวลา 3:41:00–3:47:30) ในคำเทศนาเดียวกัน Bright Romance ยังขยายความศาสนศาสตร์ของเขาต่อไปโดยกล่าวว่าผู้เชื่อไม่สามารถเห็นพระบิดาได้ เพราะ "พระบิดาเป็นวิญญาณ...คุณขึ้นไปบนสวรรค์ คุณจะเห็นแต่พระเยซู" โดยยืนยันว่าพระเยซูคือการสำแดงออกของพระบิดา (Bright Romance, 2025, ประทับเวลา 4:01:40–4:09:10) เขายังอ้างอีกว่าคำว่า "ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา" ไม่ได้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระบุคคลสององค์ของพระเจ้า แต่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของฤทธิ์อำนาจหรืออำนาจที่ได้รับการมอบหมาย เพราะ "พระเยซูดันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา เพราะพระองค์เองก็คือพระบิดาที่มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ และพระองค์เองก็เป็นพระวิญญาณที่มาเกิดในครรภ์ของนางมารี" (Bright Romance, 2025, ประทับเวลา 4:01:40–4:09:10) สิ่งนี้นับเป็นการตอกย้ำถึง ลัทธินอกรีตโมดาลิซึมของซาเบลลิอัส (Sabellian Modalism) อย่างชัดเจน ซึ่งปฏิเสธความแตกต่างเชิงการดำรงอยู่ระหว่างพระบิดาและพระบุตร ดังที่ เวย์น กรูเด็ม (Wayne Grudem) นักวิชาการชาวอเมริกันด้านพันธสัญญาใหม่และศาสนศาสตร์ ผู้เป็นศาสตราจารย์วิจัยด้านพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์ที่ Phoenix Seminary และ Trinity Evangelical Divinity School ประเทศสหรัฐอเมริกา เตือนไว้ว่า "ลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism) จะต้องปฏิเสธความสัมพันธ์ส่วนบุคคลภายในพระเจ้าตรีเอกานุภาพที่ปรากฏหลายแห่งในพระคัมภีร์...และในที่สุด ได้สูญเสียหัวใจของหลักคำสอนเรื่องการไถ่บาป (Atonement) ไป" (Grudem, 2002, p. 340)

เงาของลัทธินอกรีตโมดาลิซึมของซาเบลลิอัสและการล่มสลายของตรรกะข่าวประเสริฐ

การผสมปนเปกันเช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไปเมื่อ Bright Romance สอนว่า เนื่องจากพระเยซูคือพระบิดา พระองค์ [พระบิดา] จึง "ทรงเลือกพระองค์เอง" ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ดังที่พระองค์กล่าวว่า "เราเองนั่นแหละจะเป็นเครื่องบูชาแทนแพะแทนแกะ เลือดใคร เลือดเราเอง เลือดใคร เลือดพระเจ้าเอง แล้วเลือดพระเจ้าได้ยังไง" (Bright Romance, 2025, ประทับเวลา 3:41:00–3:47:30) ซึ่งเป็นการลบเลือนความแตกต่างระหว่างผู้ส่ง (พระบิดา) และผู้ที่ถูกส่งมา (พระบุตร) อีกครั้ง โดย บทบัญญัติแห่งความเชื่ออาทานาเชียน (Athanasian Creed) ชี้แจงอย่างชัดเจนว่า: "พระบุตรมาจากพระบิดาแต่เพียงผู้เดียว มิได้ถูกสร้างหรือถูกก่อกำเนิด แต่ทรงถูกบังเกิด (Begotten)...แม้พระองค์จะเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ แต่พระองค์ก็มิได้เป็นสอง แต่เป็นพระคริสต์เพียงหนึ่งเดียว" (The Athanasian Creed, 2025, lines 20–30) ในโครงสร้างแบบลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism) นี้ ตรรกะเรื่องการแทนที่ (Substitution) และการเป็นตัวกลางแห่งพันธสัญญา (Covenantal mediation) ของข่าวประเสริฐ ได้พังทลายสู่ความไม่สอดคล้องทางศาสนศาสตร์ ดังนั้นคำประณามของ ปิตาจารย์ เทอร์ทิวเลียน ต่อ นายพรัคซีอัส (Praxeas) จึงยังคงมีความเกี่ยวข้องอันน่าเจ็บปวดว่า "หากพระบิดาทรงถูกตรึงกางเขน มันไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น แต่มันยังเป็นสิ่งที่ไร้สาระอีกด้วย" (Olson, 1999, p. 96)

ผลกระทบทางศาสนศาสตร์และการอภิบาลจากความสับสนจากลัทธินอกรีตโมดาลิซึม

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงการไม่ยึดหลัก ความเชื่อถูกต้องของคริสต์ศาสนา (Orthodoxy) เท่านั้น แต่ยังเป็นการรวมพระบุคคลของพระเจ้าเข้าด้วยกันทางศาสนศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงลัทธินอกรีตโมดาลิซึมแพทริพาสเซียนนิซึม (Patripassianism) อันเป็นความเชื่อที่ว่าพระบิดาทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน ดังที่ ศ.ดร.หลุยส์ เบิร์คฮอฟ อธิบายว่า Modalistic Monarchianism [ลัทธินอกรีตโมดาลิซึมในฐานะรูปแบบหนึ่งของโมนาร์เคียนิซึม]... ยืนยันว่าพระบิดาพระองค์เองได้ทรงมาบังเกิดในพระคริสต์ และด้วยเหตุนี้จึงทรงทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนทั้งในและพร้อมกับพระองค์ด้วย" (Berkhof, 1969, หน้า 79)

ปิตาจารย์ เทอร์ทิวเลียน พบว่าข้อสรุปอันผิดเพี้ยนดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระและขัดแย้งกับพระคัมภีร์ โดยประกาศว่า "หากเป็นความจริง... พระบิดาก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เหมาะสมกับพระบิดาเท่านั้น แต่ยังไร้สาระอีกด้วย" (Olson, 1999, หน้า 96) และ ศ.ดร. เวย์น กรูเด็ม ย้ำเรื่องนี้ในการวิเคราะห์ ลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism) โดยระบุว่า "สิ่งนี้จะต้องปฏิเสธความสัมพันธ์ส่วนพระบุคคลภายในพระเจ้าตรีเอกานุภาพที่ปรากฏหลายแห่งในพระคัมภีร์... จะต้องกล่าวว่าการที่พระเยซูอธิษฐานต่อพระบิดานั้น เป็นเพียงภาพลวงตาหรือการแสดง ในทุกกรณี" (หน้า 340) เขายังเสริมอีกว่า "ในที่สุดแล้ว ลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism) ได้สูญเสียหัวใจของหลักคำสอนเรื่องการไถ่บาป... ที่ว่าพระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชาทดแทน และพระบุตรได้แบกรับพระพิโรธของพระเจ้าแทนเรา" (Grudem, 2002, หน้า 340)

ความจำเป็นเร่งด่วนของคริสตจักรในการปกป้องตรีเอกานุภาพและข่าวประเสริฐ

ศ.ดร. โรเจอร์ อี. โอลสัน ยังเตือนอีกว่า "ลัทธินอกรีตโมดาลิซึมของซาเบลลิอัส (Sabellianism) ยังคงอยู่และเป็นที่แพร่หลาย... บิชอปและคริสเตียนอีกมากมายยังคงไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่าง ลัทธินอกรีตโมดาลิซึม (Modalism) กับ หลัก ตรีเอกานุภาพที่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งความเชื่อไนซีนได้ (Nicene orthodox Trinitarianism)" (Olson, 1999, หน้า 175) ข้อกังวลนี้สะท้อนให้เห็นในขบวนการต่างๆ ณ ปัจจุบัน อาทิ Bright Romance ซึ่งกลุ่มคริสเตียนไทยจำนวนมาก ซึ่งประกอบด้วยผู้แสวงหาที่เปราะบาง ต่างหลงใหลในคำสอนที่ดูเหมือนจะมีพลังทางฝ่ายวิญญาณ แต่กลับไม่ถูกต้องตามหลักศาสนศาสตร์

ส่วนอธิบายเพิ่มเติมเพื่อปกป้องแนวคิด: เหตุใดนี่จึงเป็นคำสอนนอกรีต ไม่ใช่แค่ความผิดเพี้ยน

เหตุใดจึงเรียกคำสอนเหล่านี้ว่าเป็นคำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสต์ศาสนา (Heresy) เหตุใดจึงกล่าวว่าผู้ที่ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้สละสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนของความเชื่อคริสเตียน

คำตอบของคำถามเหล่านี้อยู่ใน พระคัมภีร์ บทบัญญัติแห่งความเชื่อในประวัติศาสตร์ (Historic Creeds) และ มาตรฐานหลักข้อเชื่อของคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ (confessional standards of Protestant Christianity):

  • บทบัญญัติแห่งความเชื่ออาทานาเชียน (คริสต์ศตวรรษที่ 5) ประกาศว่า
    "ผู้ใดประสงค์จะได้รับความรอด ก่อนสิ่งอื่นใดจำเป็นที่ผู้นั้นจะต้องยึดมั่นในความเชื่อสากล... ซึ่งถ้าผู้ใดไม่เชื่ออย่างสัตย์ซื่อ ผู้นั้นก็ไม่สามารถได้รับความรอดได้"
    (The Athanasian Creed, 2025, แถว 1–2) บทบัญญัติแห่งความเชื่อนี้ยืนยันว่าความเชื่อในพระเจ้าตรีเอกานุภาพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความรอดและอัตลักษณ์คริสเตียน ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่ง
  • สภาคริสตจักรสากลแห่งไนเซีย (ค.ศ. 325) ได้ประกาศคำแช่งสาป (Anathematized) แก่ผู้ที่ปฏิเสธการบังเกิดนิรันดร์ของพระบุตรและการมีแก่นแท้ (สารัตถะ) เดียวกันกับพระบิดา โดยระบุว่าพวกเขาเป็นผู้สอนเท็จที่อยู่นอกคริสตจักร.
  • พระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างชัดเจนยิ่งกว่า:
    "เพราะว่ามีผู้ล่อลวงจำนวนมากออกมาในโลก เป็นพวกที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาเป็นมนุษย์ คนประเภทนั้นแหละเป็นผู้ล่อลวงและเป็นศัตรูของพระคริสต์” (2 ยอห์น 1:7–10, THSV11)
    “แม้แต่เราเองหรือทูตจากฟ้าสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่น…ให้ผู้นั้นถูกแช่งสาป”(กาลาเทีย 1:8, THSV11)
  • จอห์น คาลวิน เรียกลัทธินอกรีตโมดาลิซึมว่า "ผู้ที่ละทิ้งความเชื่อ" และ หลักข้อเชื่อแห่งเอาส์บวร์ก (The Augsburg Confession) "ปฏิเสธและประณามคำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสต์ศาสนา (Heresy) ทั้งหมด" ที่ขัดแย้งกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ (Lutheran Church–Missouri Synod, n.d.)

ดังนั้นการปฏิเสธพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ความเป็นพระบุตรนิรันดร์ของพระคริสต์ การรับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์ที่แท้จริงจึงไม่ใช่ความแตกต่างเล็กน้อย แต่มันคือ คำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสต์ศาสนา (Heresy) ผู้ที่สอนความเชื่อเช่นนี้ได้สละสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้สอนความเชื่อคริสเตียน และการเป็นตัวแทนฝ่ายโปรเตสแตนท์ในการประกาศข่าวประเสริฐ ยิ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

บทสรุป

โดยสรุป คำเทศนาและถ้อยแถลงสาธารณะของ Bright Romance สะท้อนถึง คำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา (heresy) หลายประการที่ถูกประณามมาตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักร ศาสนศาสตร์ของเขาคล้ายคลึงกับความผิดเพี้ยนของ นักศาสนศาสตร์คริสเตียนในอดีตที่ผ่านมา เช่นนายพรัคซีอัส (Praxeas) และ นายซาเบลลิอัส (Sabellius) ในการปฏิเสธความแตกต่างระหว่างพระบุคคลและความเป็นนิรันดร์ร่วมกันของพระเจ้าตรีเอกานุภาพ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดเพี้ยนเพียงเล็กน้อย แต่เป็นการบิดเบือนที่คุกคามแก่นแท้ของข่าวประเสริฐและพระเจ้าตรีเอกานุภาพอย่างแท้จริง และ คำสอนของ Bright Romance ไม่ได้เป็นการสำแดงใหม่หรือความจริงฝ่ายวิญญาณที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หากแต่เป็น การนำคำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา อันเก่าแก่และอันตราย มาบรรจุใหม่ การรวมพระบุคคลของพระเจ้าเข้าด้วยกัน การปฏิเสธความเป็นพระบุตรนิรันดร์ของพระคริสต์ และการตีความการรับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์ที่แท้จริงใหม่ ล้วนบ่อนทำลายไม่เพียงแค่หลักตรีเอกานุภาพที่ถูกต้องเท่านั้น (Trinitarian orthodoxy) แต่ยังรวมถึงโครงสร้างหลักของข่าวประเสริฐด้วย ซึ่งคริสตจักรในประวัติศาสตร์ได้ตอบโต้ความผิดเพี้ยนดังกล่าวมาโดยตลอดผ่านทางบทบัญญัติแห่งความเชื่อ การชี้แจงศาสนศาสตร์ และการแก้ไขโดยคริสตจักร

ต้องกล่าวอย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าจะมาจากนิกายหรือคณะนิกายใด รูปแบบการนมัสการแบบใด หรือสังกัดการเคลื่อนไหวใดกล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นแบ๊บติสต์, รีฟอร์ม, เพนเทคอสต์, คาริสมาติก, นีโอ-คาริสมาติก, อิสระ หรืออื่น ๆ การปฏิเสธหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพและคริสตศาสนศาสตร์ (Christological Doctrines) ตามที่ได้รับการยืนยันในบทบัญญัติแห่งความเชื่อไนซีนและอาธานาเซียนนั้น ไม่ได้เป็นเพียงความผิดพลาดทางศาสนศาสตร์ แต่เป็นเครื่องหมายของคำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา (Heresy) บทบัญญัติแห่งความเชื่อในประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงประเพณีทางศาสนศาสตร์ที่เป็นทางเลือก แต่เป็นแก่นแท้ของคำสอนตามความเชื่อถูกต้องตามหลักการของพระคัมภีร์ (Biblical Orthodoxy) ที่ได้รับการยอมรับจากคริสตจักรทั่วโลก การปฏิเสธการเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์และการดำรงอยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์ของพระบุตร ความแตกต่างระหว่างพระบุคคลภายในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ หรือการรับสภาพมนุษย์ของพระบุตรที่แท้จริงซึ่งทรงรวมความเป็นพระเจ้าและมนุษย์ไว้อย่างสมบูรณ์ คือ การละทิ้งจากความเชื่อคริสเตียนโดยสิ้นเชิง การปฏิเสธเช่นนี้ทำให้บุคคลนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะถูกนับว่า เป็นคริสเตียนตามหลักการของพระคัมภีร์และแน่นอนว่าจะไม่สามารถถูกระบุว่าเป็นคริสเตียนโปรเตสแตนต์ได้ เนื่องจากศาสนศาสตร์ของโปรเตสแตนต์กำเนิดมาจากการหวนคืนสู่พระคัมภีร์และการยืนยันความจริงตาม บทบัญญัติแห่งความเชื่อเหล่านี้อีกครั้ง โดยบทบัญญัติแห่งความเชื่ออาทานาเชียนยืนยันไว้อย่างถูกต้องว่า “ผู้ใดประสงค์จะได้รับความรอด ก่อนสิ่งอื่นใดจำเป็นที่ผู้นั้นจะต้องยึดมั่นในความเชื่อสากล... และความเชื่อสากลนี้คือ เรานมัสการพระเจ้าองค์เดียวในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ และพระเจ้าตรีเอกานุภาพในเอกภาพ... นี่คือความเชื่อสากล ซึ่งถ้าผู้ใดไม่เชื่ออย่างซื่อสัตย์ ผู้นั้นก็ไม่สามารถได้รับความรอดได้” (The Athansian Creed, 2025, แถว 1, 3, 30) การปฏิรูปโปรเตสแตนต์ไม่เคยยกเลิกบทบัญญัติแห่งความเชื่อเหล่านี้ แต่ได้ยืนหยัดอย่างมั่นคงบนบทบัญญัติแห่งความเชื่อเหล่านี้ ดังนั้นผู้ที่สอนแตกต่างออกไปไม่ใช่แค่เพียงมีความผิดเพี้ยนเท่านั้น แต่เป็นผู้สอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา (Heretic) และพวกเขาได้สละสิทธิ์ที่จะพูดในฐานะตัวแทนของความเชื่อคริสเตียน

คริสตจักรโปรเตสแตนต์ไทยในปัจจุบันจำเป็นต้องทำเช่นเดียวกัน พยานหลักฐานตามหลักการของพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์ ซึ่งได้รับการธำรงรักษาไว้อย่างสัตย์ซื่อผ่านบุคคลสำคัญอย่าง ปิตาจารย์ เทอร์ทิวเลียน ปิตาจารย์คัปปาโดเชียน และนักปฏิรูปต่างๆ ได้เรียกร้องความชัดเจนและความกล้าหาญจากศิษยาภิบาลและผู้นำร่วมสมัย การปกป้องหลักคำสอนแกนกลาง (Trinity) ไม่ใช่แค่เรื่องเชิงทฤษฎี แต่เป็นความจำเป็นในการอภิบาล ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ คริสตจักรโปรเตสแตนต์ไทยต้องลุกขึ้นมาเพื่อปกป้องความจริงของพระเจ้าตรีเอกานุภาพ และพระราชกิจแห่งการไถ่บาปของพระบุตรนิรันดร์ ผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อการไถ่เรา ดังที่พระคัมภีร์เตือนเราว่า "จำเป็นจะต้องเขียนวิงวอนท่านให้ต่อสู้เพื่อหลักความเชื่อที่ได้ทรงมอบให้กับพวกธรรมิกชนครั้งเดียวสำหรับตลอดไป" (ยูดา 1:3)


เชิงอรรถ


บรรณานุกรม


เกี่ยวกับผู้เขียน

💬 ร่วมแสดงความคิดเห็น: ร่วมสนทนาบน Facebook

Page Views:

Visit counter For Websites