เล่มที่ 2 ฉบับที่ 2 – พฤษภาคม 2025
การคัดค้านทางศาสนศาสตร์ต่อศาสนศาสตร์พระคริสต์ (Christology) ที่นอกรีตของ Bright Romance: การยืนยันในความเป็นพระบุตรนิรันดร์ และ ความเพียงพอจากพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า
วันที่: 29 พฤษภาคม 2025
โดย: ศจ.ดร. จันทร์สมร ชัยศักดิ์ (Professor of Religious Studies and Missiology) กรรมาธิการศาสนศาสตร์และคำสอน ของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย และ ของสหกิจฯ เอเชีย Asia Evangelical Alliance
บทคัดย่อ
บทความนี้นำเสนอการคัดค้านที่มุ่งเน้นต่อความผิดเพี้ยนทางศาสนศาสตร์พระคริสต์ (Christology) ที่พบในการเทศนาสาธารณะของ Bright Romance ซึ่งเทศนาในปี 2567 (2024) โดยอาศัยจากการวิจารณ์ทางศาสนศาสตร์ที่ได้รับการเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้ใน วารสารศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์ไทย การสะท้อนครั้งนี้ระบุคำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา (Heresy) สี่ประการที่ฝังแน่นในคำสอนของ Bright Romance ได้แก่ ลัทธินอกรีตเคโนติค (Kenoticism) ลัทธินอกรีตอะดอพชันเชิงหน้าที่ (Functional Adoptionism) ลัทธินอกรีตเนสตอเรียน (Nestorianism) และ ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชัน (Subordinationism) โดยประเมินสิ่งเหล่านี้ เทียบกับพระคัมภีร์และบทบัญญัติแห่งความเชื่อทางประวัติศาสตร์ของคริสตจักร บทความนี้ปกป้องคำสอนตามความเชื่อที่ถูกต้องของคริสต์ศาสนา เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ในฐานะพระเจ้าอย่างสมบูรณ์และเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ พระบุตรนิรันดร์ และยืนยันความสัมพันธ์ที่ถูกต้องเหมาะสมระหว่างพระบุคคลภายในตรีเอกานุภาพ
บทนำ
ภายหลังจากการตีพิมพ์การวิจารณ์ทางศาสนศาสตร์อย่างเป็นทางการของข้าพเจ้าใน วารสารศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์ไทย ภายใต้หัวข้อ "การปกป้องทางศาสนศาสตร์ของหลักคำสอนเรื่องพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ความเป็นพระบุตรนิรันดร์ของพระคริสต์ และการรับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์ที่แท้จริง: การหักล้างคำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา (Heresy) ของ Bright Romance แสงสว่างแห่งรักที่แท้จริง" (Saiyasak, 2025) การสะท้อนครั้งนี้นำเสนอส่วนเสริมที่มุ่งเน้นเพื่อพิจารณาคำเทศนาสาธารณะของ Bright Romance อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น แม้ว่าบทความในวารสารก่อนหน้านี้จะกล่าวถึงการบิดเบือนหลักคำสอนเรื่องพระเจ้าตรีเอกานุภาพเป็นหลัก แต่บทความนี้จะมุ่งเน้นไปที่คำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนาที่ฝังแน่นในศาสนศาสตร์พระคริสต์ (Christology) ของ Bright Romance และการเบี่ยงเบนอย่างร้ายแรงจากคำสอนตามความเชื่อถูกต้องของคริสต์ศาสนาตามหลักการของพระคัมภีร์และบทบัญญัติแห่งความเชื่อ โดย คำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา ทั้งสี่ประการนี้ คือ ลัทธินอกรีตเคโนติค (Kenoticism) ลัทธินอกรีตอะดอพชันเชิงหน้าที่ (Functional Adoptionism) ลัทธินอกรีตเนสตอเรียน (Nestorianism) และ ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชัน (Subordinationism)
ลัทธินอกรีตเคโนติค (Kenoticism) และ การสละพระลักษณะพระเจ้า
Bright Romance สอนว่า วิญญาณของพระเยซู (Divine spirit) "เต็มไปด้วยความรู้และความเข้าใจ" แต่ "จำกัดด้วยจิตใจ" (Bright Romance, 2024, timestamp 2:43:00–2:48:25) คำกล่าวนี้บอกเป็นนัยว่าพระคริสต์เมื่อทรงรับสภาพมนุษย์ได้ทรงสละหรือระงับพระลักษณะของพระเจ้า เช่น สัพพัญญู หรือ การรู้ทุกสิ่ง (Omniscience) ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับคำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนาของ ลัทธินอกรีตเคโนติค (Kenoticism) ดังที่ ศ.ดร.เวย์น กรูเด็ม (Wayne Grudem) นักวิชาการชาวอเมริกันด้านพันธสัญญาใหม่และศาสนศาสตร์ ผู้เป็นศาสตราจารย์วิจัยด้านพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์ที่ Phoenix Seminary และ Trinity Evangelical Divinity School ประเทศสหรัฐอเมริกา (1994) อธิบายว่า "ทฤษฎีเคโนซิส (Kenosis theory) ถือว่าพระคริสต์ทรงสละพระลักษณะของพระเจ้าบางประการในขณะที่ทรงเป็นมนุษย์อยู่ในโลก... พระคริสต์ 'ทรงสละพระองค์เอง' จากพระลักษณะของพระเจ้าบางประการ เช่น การรอบรู้ทุกอย่าง (Omniscience) การสถิตอยู่ทุกหนแห่ง (Omnipresence) และ การทรงฤทธานุภาพทุกประการ (Omnipotence) ในขณะที่พระองค์ทรงอยู่ในโลกในฐานะมนุษย์นั้น ถูกมองว่าเป็นการจำกัดตนเองโดยสมัครใจของพระคริสต์ โดยพระองค์ทรงกระทำสิ่งนี้เพื่อให้พระราชกิจแห่งการไถ่สำเร็จ" (หน้า 788) มุมมองดังกล่าวจึงเป็นตีความพระธรรมฟีลิปปี บทที่ 2 ข้อที่ 7 ที่ผิดพลาด โดยมีความหมายที่แท้จริงคือพระคริสต์ทรงถ่อมพระองค์โดยการรับธรรมชาติความเป็นมนุษย์ (Human nature) ไม่ใช่โดยการลบธรรมชาติความเป็นพระเจ้า (Divine Nature)
โคโลสี 2:9 (THSV11) ยืนยันว่า "เพราะว่าความเป็นพระเจ้าที่ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้นดำรงอยู่ในพระกายของพระองค์" ดังนั้น การแนะนำว่าพระวิญญาณต้องชดเชยสิ่งที่พระบุตรขาดแคลน คือการปฏิเสธความเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ของพระคริสต์ในระหว่างการรับสภาพมนุษย์ (Incarnation) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ คำสอนนอกรีตเคโนติค (Kenotic heresy) ปิตาจารย์ อิเรเนอุสแห่งลียง (Irenaeus of Lyons) ปิตาจารย์แห่งคริสตจักรยุคแรก ซึ่งตามธรรมเนียมถือว่าเป็น "หลาน" ทางฝ่ายวิญญาณของ อัครทูตยอห์น ผ่านความสัมพันธ์กับ ปิตาจารย์ โพลิคาร์ปแห่งสเมอร์นา (Polycarp of Smyrna) ซึ่งเป็นศิษย์โดยตรงของอัครทูตยอห์น ได้กล่าวถึงธรรมชาติของการรับสภาพมนุษย์ของพระคริสต์ในหนังสือเล่มที่ 5 ของ Against Heresies เพื่อปกป้องศาสนาคริสต์ดั้งเดิมจากคำสอนนอกรีต (Heresy) โดยเน้นย้ำถึงความเป็นมนุษย์และพระเจ้าที่แท้จริงของพระคริสต์ และธรรมเนียมของอัครทูตในการเผชิญหน้ากับคำสอนนอกรีตยุคแรก ไว้ว่า "พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรง...กลายเป็นสิ่งที่เราเป็น เพื่อพระองค์จะได้ทรงนำเราให้เป็นสิ่งเดียวกับที่พระองค์เองทรงเป็น" (Irenaeus of Lyons, n.d.) ท่านไม่ได้ใช้ภาษาแบบเคโนติคอย่างชัดเจน แต่เน้นย้ำว่าพระวาทะ (Logos, พระเยซู) ทรงกลายเป็นมนุษย์โดยไม่หยุดการเป็นพระเจ้า โดยยังคงพระลักษณะทั้งหมดของพระเจ้าไว้ในพระองค์
ลัทธินอกรีตอะดอพชัน เชิงหน้าที่ (Functional Adoptionism) และความเป็นพระบุตรตามเงื่อนไขของพระคริสต์
Bright Romance ยังสอนว่าพระเยซู "ตัดสินใจทิ้งชีวิตเก่า ลงไปในน้ำ และมีชีวิตใหม่" โดยบอกเป็นนัยถึงเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงที่สถาปนาเอกลักษณ์ของพระเจ้าของพระองค์ในการบัพติศมา (Bright Romance, 2024, timestamp 2:43:00–2:48:25) สิ่งนี้คล้ายคลึงกับคำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนาโบราณของ ลัทธินอกรีตอะดอพชัน (Adoptionism) ซึ่งถือว่าพระเยซูกลายเป็นพระบุตรของพระเจ้าผ่านความเชื่อฟัง การพัฒนาทางศีลธรรม หรือการเสริมอำนาจโดยพระวิญญาณ แต่พระคัมภีร์ยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรนิรันดร์ ว่า "ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า" (ยอห์น 1:1, THSV11) และ พระธรรมยอห์น บทที่ 17 ข้อ 5 (THSV11) ยอห์น 17:5 ได้บันทึกคำอธิษฐานของพระเยซูไว้ว่า "บัดนี้ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา" โดยลัทธินอกรีตอะดอพชันถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดโดยบทบัญญัติแห่งความเชื่อไนซีน ที่ยืนยันว่าพระคริสต์ "บังเกิด ไม่ใช่ถูกสร้าง มีแก่นแท้ (Consubstantial) เดียวกันกับพระบิดา" (Pelikan, 2003, หน้า 24) ศาสนศาสตร์ของ Bright Romance ได้ทำลายสิ่งนี้โดยสอนความเป็นพระบุตรตามเงื่อนไขเชิงหน้าที่ ปิตาจารย์ ออกัสติน ยืนยันว่า "พระบุตรจึงเท่าเทียมกับพระบิดา และ การทรงงานของพระบิดาและพระบุตรนั้นแยกจากกันไม่ได้" (Augustine, n.d., Book XV, Chapter 26) การยืนยันโดยตรงถึงความเท่าเทียมนิรันดร์และภารกิจร่วมกับพระบิดาของพระบุตรนี้ ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับแนวคิดใดๆ ที่ว่าความเป็นพระบุตรนั้นพัฒนาขึ้นผ่านการเชื่อฟัง หรือเริ่มต้นจากการเสริมอำนาจโดยพระวิญญาณ ความเท่าเทียมกันในการทรงงานย่อมหมายถึงความเท่าเทียมกันใน สารัตถะ (แก่นแท้) ถ้าพระบุตรที่ต้องได้รับการเสริมอำนาจเข้าสู่ความเป็นพระเจ้าไม่อาจมีส่วนร่วมใน การทำงานของพระเจ้าที่แยกจากกันไม่ได้ (Inseparable divine operations)ลัทธินอกรีตเนสตอเรียน (Nestorianism) และการแบ่งแยกพระบุคคลของพระคริสต์
การแบ่งแยก วิญญาณของพระเยซู (Jesus’ divine spirit) และ ความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ที่จำกัดของ Bright Romance สื่อให้เห็นถึงการแยกส่วนของจิตสำนึก (Consciousness) กล่าวคือ จิตสำนึกหนึ่งเป็นของพระเจ้า อีกจิตสำนึกหนึ่งเป็นของมนุษย์ เขาได้กล่าวว่าพระเยซูมีความรู้แบบพระเจ้า แต่ก็ยังถูกจำกัดในด้านจิตใจและความทุกข์ทรมานทางกาย (Bright Romance, 2024, timestamp 2:43:00–2:48:25) การแยกส่วนนี้สอดคล้องกับ ลัทธินอกรีตเนสตอเรียน (Nestorianism) ซึ่งเสนอว่าในพระคริสต์มีสองบุคคลที่แยกจากกัน คือ บุคคลที่เป็นพระเจ้าและบุคคลที่เป็นมนุษย์ ซึ่งรวมกันอย่างหลวมๆ โดย สภาคริสตจักรสากลแห่งเอเฟซัส (ค.ศ. 431) ได้ประณามมุมมองนี้ว่าเป็นการแบ่งแยกความเป็นบุคคลของพระคริสต์ และ บทบัญญัติแห่งความเชื่อแคลเซดอน (ค.ศ. 451) (The Chalcedonian Creed) ได้ประกาศว่าพระคริสต์ทรงเป็น "พระบุตรองค์เดียวกัน... รับรู้ในสองธรรมชาติ โดยไม่มีการสับสน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีการแยกจากกัน" (Kelly, 2003, หน้า 307) ความเป็นหนึ่งเดียวของบุคคลของพระคริสต์จะถูกทำให้เสื่อมเสียเมื่อเจตจำนงค์ความเป็นพระเจ้าและสติปัญญาแบบมนุษย์ของพระองค์ถูกนำเสนอว่าแยกออกจากกันในเชิงจิตวิทยา ดังนั้น คำอธิบายของ Bright Romance จึงสะท้อน คำสอนนอกรีตเนสตอเรียน (Nestorian heresy) ในกรอบแนวคิดของเขา
ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชัน (Subordinationism) และการกลับบทบาทของพระเจ้าตรีเอกานุภาพ
ในคำเทศนาของเขา Bright Romance สอนว่า “พระเยซูไม่ได้นำพระวิญญาณ แต่พระวิญญาณนำพระเยซู” และว่า “พระวิญญาณลงมา เป็นผู้นำเยซู พระเยซูจึงสามารถทำตามพระบิดา” (Bright Romance, 2024, timestamp 2:43:00–2:48:25) ในคำสอนของ Bright Romance มีการตั้งสมมติฐานว่าความสามารถในการกระทำของพระเยซูขึ้นอยู่กับการทรงสถิตและการเสริมอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้ออ้างเหล่านี้ทำให้ “พระบุตรอยู่ภายใต้พระวิญญาณ” ในด้านการทำงานและการริเริ่ม ซึ่งเป็นการกลับลำดับตามพระคัมภีร์ โดยพระคัมภีร์สอนว่าพระบุตรทรงประทานพระวิญญาณ (ยอห์น 15:26) และพระวิญญาณทรงให้พระเกียรติแด่พระบุตร (ยอห์น 16:14) การกลับลำดับนี้คล้ายกับรูปแบบใหม่ของ ลัทธินอกรีตซับออร์ดิเนชัน (Subordinationism) ที่ซึ่งพระวิญญาณเป็นผู้กระทำหลักในพระราชกิจของพระเจ้า ไม่ใช่พระบุตร ความสับสนในบทบาทของพระเจ้าตรีเอกานุภาพตามที่ Bright Romance สอน ไม่เพียงแต่เสี่ยงต่อการกลับลำดับพันธกิจของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการทำลายความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้าด้วย หากตีความพระคัมภีร์ผิดไปเพื่อเสนอว่า พระบุตรกระทำภายใต้การเสริมอำนาจของพระวิญญาณเท่านั้น ผลที่ตามมาคือการจัด “ลำดับชั้นในพระเจ้า” โดยวาง “พระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้เหนือพระบุตร”
ปิตาจารย์ ออกัสติน (Augustine)โต้แย้งการบิดเบือนดังกล่าวอย่างเฉียบคมว่า "ถ้าเช่นนั้น ก็ให้พวกเขาลองกล่าวตามที่พวกเขาพอใจดูสิว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่กว่าพระบุตร ผู้ซึ่งพวกเขามักจะเรียกว่าด้อยกว่า หรือจะเป็นเพราะ ไม่ได้มีการกล่าวไว้ว่า ‘พระองค์แต่เพียงผู้เดียว’ หรือ ‘ไม่มีผู้ใดอีกนอกจากพระองค์เอง’ จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล พวกเขาจึงยอมให้เชื่อได้ว่าพระบุตรก็อาจจะทรงสอนร่วมกับพระองค์ด้วย หากเป็นเช่นนั้น อัครสาวกก็ได้กีดกันพระบุตรออกจากการรับรู้สิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระเจ้า ดังที่ท่านกล่าวว่า ‘ทำนองเดียวกัน สิ่งที่เป็นของพระเจ้าย่อมไม่มีผู้ใดหยั่งรู้ได้ นอกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า’ ผลก็คือคนดื้อรั้นเหล่านี้อาจจะกล่าวต่อไปได้ว่า ไม่มีผู้ใดนอกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสอนแม้กระทั่งพระบุตรในเรื่องสิ่งที่เป็นของพระเจ้า ดุจดังผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าสอนผู้ที่ด้อยกว่า ผู้ซึ่งพระบุตรเองยังทรงให้เกียรติอย่างสูงถึงกับตรัสว่า ‘อย่างไรก็ตาม เราจะบอกความจริงกับพวกท่าน คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน’" (Augustine, n.d., Book I, Chapter 6)
ปิตาจารย์ ออกัสติน ยังปกป้องอีกว่า "พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงถูกกล่าวว่ามาจากพระบิดา เช่นเดียวกับการที่ต้องเข้าใจว่าการมาจากพระบุตรด้วย...ดังนั้น พระวิญญาณของพระบิดาและพระบุตร ไม่ได้บังเกิดจากพระบิดาและพระบุตร แต่มาจากพระบิดาและพระบุตร" (Augustine, n.d., Book XV, Chapter 26) คริสตจักรตะวันตกได้ประมวลสิ่งนี้ไว้ใน ฟิลิโอเก (filioque) ซึ่งได้รับการยืนยันที่ สภาคริสตจักรสากลแห่งโทเลโดครั้งที่สิบเอ็ด (Eleventh Council of Toledo) (ค.ศ. 675) และสภาคริสตจักรสากลแห่งฟลอเรนซ์ (Council of Florence) (ค.ศ. 1439) (Internet History Sourcebooks Project, n.d.; Shoemaker, n.d.)
ด้วยการกลับลำดับความสัมพันธ์ของตรีเอกานุภาพ และการบ่งชี้ถึงการพึ่งพาทางภาวะแก่นสาร (ontological dependency) ของพระบุตร กรอบแนวคิดของ Bright Romance จึงเบี่ยงเบนจากหลักความเชื่อถูกต้องของคริสต์ศาสนาและตกอยู่ในการพลิกผันที่เป็นคำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา (Heresy)
ผลสืบเนื่องทางศาสนศาสตร์และเชิงอภิบาล
ผลสืบเนื่องทางศาสนศาสตร์ของคำสอนของ Bright Romance มีความลึกซึ้งยิ่ง หากพระเยซูกลายเป็นพระบุตรผ่านการเสริมอำนาจของพระวิญญาณแล้วนั้น ความเป็นพระเจ้านิรันดร์ของพระองค์ก็ถูกปฏิเสธ หากพระลักษณะของพระเจ้าของพระองค์ถูกระงับแล้วนั้น ความเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ของพระองค์ก็ถูกลดทอน หากธรรมชาติของพระเจ้าและมนุษย์ของพระองค์ทำงานเป็นศูนย์กลางที่แยกจากกันแล้วนั้น ความเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์ก็ถูกทำลาย และ หากพระวิญญาณทรงเสริมอำนาจพระบุตรแล้วนั้น ลำดับของหลักตรีเอกานุภาพก็ถูกกลับด้าน คำสอนเหล่านี้ยกประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณให้สูงกว่าหลักคำสอนที่ถูกต้องและคุกคามหลักข้อเชื่อของคริสตจักรที่ว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่เพียงพอ
บทสรุป
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรนิรันดร์ของพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์และเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ทรงเพียงพอในพระองค์เองที่จะทำพระประสงค์ของพระบิดาให้สำเร็จ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมาจากพระบิดาและพระบุตร และทรงถวายพระเกียรติแด่พระบุตร ไม่ใช่ในทิศทางตรงกันข้าม ดังที่คริสตจักรได้ประกาศตั้งแต่สภาคริสตจักรสากลแห่งไนเซีย (ค.ศ. 325) เราขอยืนยันว่า "เราเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์เดียว พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ที่บังเกิดจากพระบิดาก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง ความสว่างแห่งความสว่าง พระเจ้าแท้แห่งพระเจ้าแท้" (Pelikan, 2003, หน้า 24) คำสอนใดๆ ที่ประนีประนอมหรือลดทอนความเป็นพระบุคคลของพระคริสต์หรือกลับลำดับของพระเจ้าตรีเอกานุภาพ จะต้องได้รับการตระหนักอย่างชัดเจนและปฏิเสธอย่างสัตย์ซื่อในฐานะคำสอนนอกรีตทางหลักคำสอนแกนกลางของคริสตศาสนา (Heresy)
บรรณานุกรม
Augustine of Hippo. (n.d.). On the Trinity (A. W. Haddan, Trans.). Logos Virtual Library. Retrieved May 26, 2025, from https://www.logoslibrary.org/augustine/trinity/1526.html
Bright Romance. (2024, November 17). Sunday Service - เชื้อแรง [Video]. YouTube. https://youtu.be/zJ5K8j_7xrg
Calvin, J. (2008). Institutes of the Christian Religion (H. Beveridge, Trans.). Peabody, MA: Hendrickson Publishers. (Original work published 1559)
Chalcedonian Creed. (n.d.). The Westminster Standard. Retrieved May 25, 2025, from https://thewestminsterstandard.org/the-chalcedonian-creed
Grudem, W. A. (1994). Systematic Theology: An Introduction to Biblical Doctrine. Zondervan.
Internet History Sourcebooks Project. (n.d.). Eleventh Council of Toledo: Symbol of Faith (675). Fordham University. Retrieved May 26, 2025, from https://sourcebooks.fordham.edu/source/toledo.txt
Irenaeus of Lyons. (n.d.). Against Heresies (Book V). In A. Roberts & J. Donaldson (Eds.), Ante-Nicene Fathers (Vol. 1). The Gnosis Archive. https://www.gnosis.org/library/advh5.htm
Kelly, J. N. D. (2003). Early Christian Doctrines. Prince Press.
Pelikan, J. (2003). Credo: Historical and Theological Guide to Creeds and Confessions of Faith in the Christian Tradition. Yale University Press.
Saiyasak, Chansamone. (2025, May 20). A Theological Defense of Trinitarian Doctrine, the Eternal Sonship of Christ, and the True Incarnation: A Rebuttal of the Heretical Teachings of Bright Romance. Journal of Thai Protestant Theology 2(2). Retrieved from http://www.thaiprotestanttheology.mf.or.th/journal/article5.html
Shoemaker, S. J. (n.d.). Council of Florence (1439): Decree of union (Laetentur caeli). University of Oregon. Retrieved May 26, 2025, from https://darkwing.uoregon.edu/~sshoemak/325/texts/florence.htm
เกี่ยวกับผู้เขียน
💬 ร่วมแสดงความคิดเห็น: ร่วมสนทนาบน Facebook
-
รูปแบบอ้างอิงบทความนี้:
จันทร์สมร ชัยศักดิ์. (2025, พฤษภาคม 29). การคัดค้านทางศาสนศาสตร์ต่อศาสนศาสตร์พระคริสต์ (Christology) ที่นอกรีตของ Bright Romance: การยืนยันในความเป็นพระบุตรนิรันดร์ และ ความเพียงพอจากพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า. วารสารศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์ไทย 3(2). http://www.thaiprotestanttheology.mf.or.th/journal/article7.html
Page Views: