เล่มที่ 2 ฉบับที่ 1 – เมษายน 2025
บทบาทสำคัญของการฟื้นคืนพระชนม์ในข่าวประเสริฐและความเชื่อแนวอีแวนเจลิคอลและโปรเตสแตนต์
วันที่: 20 เมษายน 2025
โดย: ศจ.ดร. จันทร์สมร ชัยศักดิ์ (Professor of Religious Studies and Missiology) กรรมาธิการศาสนศาสตร์และคำสอน ของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย และ ของสหกิจฯ เอเชีย Asia Evangelical Alliance | เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ มิใช่เป็นเพียงตอนจบอันสวยงามของเรื่องราวแห่งกางเขน—แต่เป็นการรับรองอันทรงฤทธิ์ถึงสิ่งที่กางเขนได้กระทำสำเร็จโดยสมบูรณ์แล้ว ในหลักศาสนศาสตร์ของโปรเตสแตนต์และอีแวนเจลิคอลเชิงประวัติศาสตร์ การฟื้นคืนพระชนม์มีบทบาททั้งในเชิงศาสนศาสตร์และประวัติศาสตร์ โดยยืนยันไม่เพียงว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของเรา แต่ทรงเป็นจริงตามที่พระองค์อ้างว่าเป็น—พระบุตรของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของโลก และองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมีชัยเหนือความตาย
แม้ว่ากางเขนจะเป็นสถานที่ที่การไถ่บาปสำเร็จลง การฟื้นคืนพระชนม์คือแถลงการ/การประกาศจากสวรรค์ว่าการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์บนกางเขนเพื่อไถ่บาปนี้เป็นที่ยอมรับ อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ถ้าพระคริสต์ยังไม่ทรงเป็นขึ้นมา ความเชื่อของท่านก็เปล่าประโยชน์ และท่านยังอยู่ในความบาปของท่าน” (1 โครินธ์ 15:17) การฟื้นคืนพระชนม์จึงมิใช่สิ่งเพิ่มเติมในข่าวประเสริฐ—แต่เป็นแก่นกลางที่ขาดไม่ได้ เปาโลเน้นอีกในโรม 4:25 ว่า “พระองค์ทรงถูกมอบไว้เพราะการล่วงละเมิดของเรา และทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาอีกเพื่อให้เราถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม”
ในหมู่นักศาสนศาสตร์แนวอีแวนเจลิคอลร่วมสมัย ศ.ดร. N.T. Wright มีอิทธิพลอย่างมากในการฟื้นฟูการฟื้นคืนพระชนม์ให้กลับมามีน้ำหนักทางศาสนศาสตร์ และประวัติศาสตร์อย่างเต็มที่ ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือ The Resurrection of the Son of God ว่า “คริสเตียนยุคแรกไม่ได้ประดิษฐ์เรื่องอุโมงค์ว่างเปล่าหรือการพบพระเยซูที่เป็นขึ้นมา พวกเขาไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้... ไม่มีประสบการณ์ทางจิตใดสามารถทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้” สำหรับ Wright การฟื้นคืนพระชนม์คือจุดเริ่มต้นของการทรงสร้างขึ้นมาใหม่ และเป็นสมอแห่งความหวังของคริสเตียน
ศ.ดร. Gary Habermas นักศาสนศาสตร์ด้านปกป้องศาสนาคริสต์ชั้นนำ ได้ใช้ “วิธีการข้อเท็จจริงขั้นต่ำ” (Minimal Facts Approach) ในการสร้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าการฟื้นคืนพระชนม์นั้นเป็นจริง Michael Licona ร่วมกับเขาในหนังสือ The Case for the Resurrection of Jesus และเสนอว่าการฟื้นคืนพระชนม์นี้ไม่ใช่เพียงเรื่องความเชื่อ แต่เป็นเหตุการณ์จริงที่มีพลังทางศาสนศาสตร์
ในมุมมองของนักศาสนศาสตร์เขิงระบบ ศ.ดร. Wolfhart Pannenberg (แม้ไม่ใช่อีแวนเจลิคอลอเมริกันโดยตรง) มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์โดยยืนยันว่าการฟื้นคืนพระชนม์เป็นรากฐานที่สำคัญของการอ้างความจริงของคริสเตียนทั้งหมด ท่านได้กล่าวอย่างกล้าหาญว่า “หลักฐานสำหรับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูแข็งแกร่งมาก จนไม่มีใครปฏิเสธได้ นอกจากสองสิ่ง: การฟื้นคืนพระชนม์เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดา และถ้าท่านเชื่อว่าการฟื้นคืนพระชนม์เกิดขึ้น ท่านต้องเปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิตของท่าน” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นคืนพระชนม์ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เชิงเหตุผล แต่เป็นคำเรียกให้เปลี่ยนแปลงชีวิต
ศ.ดร. John Stott แม้จะเป็นที่รู้จักจากงานด้านกางเขน ก็กล่าวไว้อย่างชัดเจนถึงความจำเป็นของการฟื้นคืนพระชนม์ว่า: “การฟื้นคืนพระชนม์ไม่ได้ทำให้เราได้รับการอภัย... พระคัมภีร์ไม่ได้ยกพระพรเหล่านี้ให้กับการฟื้นคืนพระชนม์ แต่ยกให้กับความตายของพระเยซู” (The Cross of Christ, หน้า 234) สำหรับ Stott หลุมฝังศพที่ว่างเปล่าคือ "เอเมน" จากพระบิดา ตอบต่อคำของพระบุตรว่า “สำเร็จแล้ว”
ดร. Tim Keller กล่าวอย่างลึกซึ้งในหนังสือ Hope in Times of Fear ว่า “ถ้าพระเยซูทรงฟื้นคืนจากความตาย ท่านต้องยอมรับทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ ถ้าพระองค์ไม่ฟื้น ท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจสิ่งใดเลย” สำหรับ Keller การฟื้นคืนพระชนม์มิใช่แค่ความจริงเชิงหลักข้อเชื่อ แต่เป็นความแน่นอนทางจิตวิญญาณที่เปลี่ยนทุกสิ่ง—รวมถึงความทุกข์ ความยุติธรรม และจุดหมายของชีวิต
ความหมายในบริบทเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความจริงนี้สอดคล้องอย่างลึกซึ้งกับบริบทเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในกลุ่มชาวไทยและลาวที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเถรวาท ที่ซึ่งทุกข์ (dukkha) เกิดจากตัณหา (tanhā) และดำรงอยู่ผ่านกฎแห่งกรรม นำไปสู่ สังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิด การหลุดพ้น (นิพพาน) หมายถึงการหลีกหนีจากวัฏจักรนี้ผ่านการดับตัณหาและลบล้างอัตตา แต่แม้ผู้ฝึกปฏิบัติจะมีศรัทธาสูงเพียงใด ก็ยังคงแบกรับกรรมเก่าอย่างไม่รู้จบ
ที่นี่เอง การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์จึงเป็นคำตอบ ไม่ใช่แค่เชิงศาสนศาสตร์ แต่ในระดับการดำรงอยู่อย่างลึกซึ้งและเป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง กางเขนเผชิญหน้ากับความผิดบาป พระเยซูทรงแบกกรรมของมนุษย์ไว้ทั้งหมด และการฟื้นคืนพระชนม์จึงมิใช่เพียงการรอดพ้น แต่คือชัยชนะเหนือความตาย อัครทูตเปาโลได้กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าพระคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นจากตายแล้ว... เพราะว่าในอาดัมทุกคนตาย ฉันใด ในพระคริสต์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตอีก” (1 โครินธ์ 15:20–22) การฟื้นคืนพระชนม์ไม่เพียงแต่เป็นชัยชนะของพระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นชัยชนะของเราด้วย การฟื้นคืนพระชนม์ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเวียนวายตายเกิดเท่านั้น แต่ยังทำให้เราได้รับการต้อนรับเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์อีกด้วย
ในที่ซึ่งกรรมเรียกร้อง “ท่านต้องชดใช้” การฟื้นคืนพระชนม์ก็จะตอบกลับ “พระองค์ได้ชำระ-ชดใช้ให้แล้ว” ที่ที่สังสารวัฏเวียนวนไม่รู้จบ การฟื้นคืนพระชนม์ประกาศการเริ่มต้นใหม่ ในที่ซึ่งความทุกข์ทรมานดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ พระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ประกาศว่า “ดูเถิด เรากำลังทำให้ทุกสิ่งใหม่” (วิวรณ์ 21:5)
สำหรับชาวไทยและลาวที่ปรารถนาความสงบสุข การให้อภัย และความเป็นอิสระจากความผิดบาปและเวรกรรม การฟื้นคืนพระชนม์ไม่ใช่แนวคิดแบบตะวันตก แต่เป็นคำเชิญชวนจากพระเจ้าให้กับทุกคนทั่วโลก ไม่ใช่การหลุดพ้นจากตนเองแต่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ไม่ใช่การสูญสิ้น แต่เป็นการฟื้นคืนชีวิต
ดังนั้น การฟื้นคืนพระชนม์คือ “ตราประทับแห่งความรอด” “รากฐานของความหวังในอนาคต” และ “พลังในการดำเนินชีวิตประจำวันของคริสเตียน” การฟื้นคืนพระชนม์ยืนยันกางเขน ขับเคลื่อนคริสตจักร และชี้ไปสู่การทรงสร้างใหม่ในอนาคต
การประกาศพระคริสต์ผู้ถูกตรึงกางเขน โดยไม่ประกาศถึงพระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ คือการประกาศข่าวประเสริฐเพียงครึ่งเดียว กางเขนคือสถานที่ที่ความรอดได้สำเร็จ และการฟื้นคืนพระชนม์คือสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าความรอดนั้นเป็นของเรา ข่าวประเสริฐนั้นทั้งเปื้อนเลือดและมีชัยชนะ—มีเครื่องหมายของไม้กางเขนของโรมันและหลุมฝังศพที่ว่างเปล่า และทั้งสองสิ่งนี้ประกาศว่า พระเจ้าผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา คือพระเจ้าพระองค์เดียวกันที่ทรงพระชนม์อยู่ในเราทุกวันนี้ วันหนึ่งพระองค์จะทรงให้เราฟื้นคืนขึ้นกับพระองค์ และพระองค์ผู้ฟื้นขึ้นจากความตายนั้นกำลังยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ไปยังนานาชาติและวัฒนธรรมต่าง ๆ ด้วยพระคุณที่สมบูรณ์และนิรันดร์
เกี่ยวกับผู้เขียน
ศจ.ดร. จันทร์สมร ชัยศักดิ์ (ไทย) นักศาสนศาสตร์ และศาสนศาสตร์มิชชั่น จังหวัดอุบลราชธานี เป็นกรรมาธิการศาสนศาสตร์ และกรรมาธิการเสรีภาพทางศาสนา ของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย (Evangelical Fellowship of Thailand) และของสหกิจเอเชีย (Asia Evangelical Alliance) โดยมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาศาสนศาสตร์และความคิดริเริ่มด้านเสรีภาพทางศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ดร. จันทร์สมร ยังดำรงตำแหน่งนักศาสนศาสเอเชียของสหกิจโลก (World Evangelical Alliance) ด้วย ด้วยประสบการณ์ด้านศาสนศาสตร์และการเป็นผู้นำกว่า 30 ปี ดร. จันทร์สมร ได้เป็นผู้นำและอาจารย์สอนที่สถาบันการศึกษาและศาสนศาสตร์คริสเตียน โครงการพัฒนาชุมชน และการก่อตั้งคริสตจักรในประเทศไทยและลาว ดร.จันทร์สมร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก Doctor of Philosophy ด้านศาสนศานตร์และศาสนศึกษา จาก Evangelische Theologische Faculteit (เบลเยียม) และปริญญาเอก Doctor of Ministry ด้านศาสนศาสตร์มิชชั่นจาก Mid-America Baptist Theological Seminary (สหรัฐอเมริกา) และสำเร็จการศึกษาหลักสูตรการเป็นผู้นำขั้นสูงจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด Harvard University มหาวิทยาลัยเยล Yale University และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด Oxford University พร้อมกันนี้ ดร.จันทร์สมร ยังรับใช้เป็นกรรมการและวิทยากรประจำขององค์กรต่างๆ เช่น SEANET Missiological Forum และ Lausanne Movement’s Worldplace, World Evangelical Alliance, และ Asian Society of Missiology
💬 ร่วมแสดงความคิดเห็น: ร่วมสนทนาบน Facebook