เล่มที่ 3 ฉบับที่ 1 – พฤษภาคม 2025
การทำนายที่แม่นยำ ไม่ได้เท่ากับว่า เป็นผู้เผยพระวจนะที่แท้จริง: เหตุใดการเผยพระวจนะเชิงพยากรณ์จึงยุติแล้ว
วันที่: 6 พฤษภาคม 2025
โดย: ศจ.ดร. จันทร์สมร ชัยศักดิ์ กรรมาธิการศาสนศาสตร์และคำสอน ของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย และ ของสหกิจฯ เอเชีย Asia Evangelical Alliance | เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ
มีผู้รับใช้ถามว่า “คำเผยพระวจนะตรงเป๊ะเลย...ถือว่าผู้เผยพระวจนะที่แท้จริงไหม” เพียงเพราะมีใครบางคนกล่าวถ้อยคำบางอย่างแล้วสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง ไม่ได้แปลว่าบุคคลนั้นคือ “ผู้เผยพระวจนะที่แท้จริง” ในศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์แนวอีแวนเจลิคอล โดยเฉพาะกลุ่มที่ยืนยันแนวคิด “ยุติของประทาน” (Cessationism) จะถือว่าของประทานแห่งการเผยพระวจนะในลักษณะของการพยากรณ์เชิงวิวรณ์ (revelatory foretelling) ซึ่งเป็นการเปิดเผยพระวจนะใหม่ที่มีอำนาจจากพระเจ้า ได้ยุติลงเมื่อยุคอัครทูตสิ้นสุดและพระคัมภีร์ถูกปิดฉบับสมบูรณ์แล้ว พระคัมภีร์เองก็เตือนเราชัดเจนว่า อย่าใช้เพียงความแม่นยำของการทำนายมาตัดสินว่าคนนั้นมาจากพระเจ้า ในเฉลยธรรมบัญญัติ 13:1–3 พระเจ้าทรงสั่งประชากรของพระองค์ว่า หากมีผู้ใดมาทำนายหรือล่อลวง แม้สิ่งที่เขาทำนายจะเกิดขึ้นจริง แต่หากถ้อยคำนั้นนำให้หันเหออกจากการนมัสการพระเจ้า ก็ห้ามฟังเขา เพราะพระเจ้าทรงทดสอบใจของประชากรของพระองค์ การเผยพระวจนะเชิงการประกาศพระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ยังคงอยู่แต่ของประทานแห่งการการเผยพระวจนะที่สัมพันธ์กับแต่ละบุคคลสิ้นสุดลง
ดังนั้น ในมุมมองของพระคัมภีร์ “การเผยพระวจนะ” ไม่ได้ถูกตัดสินด้วยแค่ความแม่นยำของผลลัพธ์ภายนอกเท่านั้น แต่ต้องมาจากการทรงเรียกของพระเจ้า เนื้อหาที่สอดคล้องกับพระลักษณะของพระเจ้า และต้องไม่ขัดต่อพันธสัญญาแห่งความรอด พระธรรมฮีบรู 1:1–2 ยืนยันว่าพระเจ้าทรงตรัสแก่เราผ่านพระบุตรแล้ว และยืนยันถึงความสมบูรณ์ของการทรงสำแดงในพระคริสต์ ส่วนเอเฟซัส 2:20 ระบุว่า “คริสตจักรได้ถูกวางรากฐานไว้แล้วบนหลักของเหล่าอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ” นั่นหมายความว่า บทบาทของผู้เผยพระวจนะ (เชิงพยาการณ์หรือเชิงวิวรณ์) เป็นเพียงรากฐาน และไม่ได้ดำรงอยู่อย่างถาวรจนถึงยุคปัจจุบัน
ดังนั้น แม้ใครบางคนจะอ้างว่าตนได้รับถ้อยคำจากพระเจ้า และสิ่งที่พูดนั้นดูเหมือนจะเกิดขึ้นจริง ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาคือผู้เผยพระวจนะ (เชิงพยาการณ์หรือเชิงวิวรณ์) เพราะความรู้หรือคำพูดเหล่านั้นอาจมาจากประสบการณ์ส่วนตัว การคาดคะเน หรือแม้แต่จากอิทธิพลฝ่ายวิญญาณอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จากพระเจ้า ในพระคัมภีร์ ผู้เผยพระวจนะที่แท้จริงจะต้องถูกยืนยันทั้งโดยการทรงเรียกของพระเจ้า ความสอดคล้องกับพระวจนะเดิม และการหนุนเสริมพระประสงค์แห่งการไถ่ ไม่ใช่โดยความแม่นยำทางพยากรณ์เพียงอย่างเดียว ดังนั้น การกล่าวว่า “เขาทำนายถูก” จึงไม่ใช่หลักฐานว่าคำพยากรณ์นั้นมาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง
ของประทานแห่งการเผยพระวจนะในเชิงพยากรณ์ได้ทำหน้าที่สำเร็จแล้ว และสิ้นสุดลงเมื่อพระคัมภีร์เสร็จสมบูรณ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงตรัสอยู่ในยุคนี้ แต่อยู่ภายใต้พระวจนะที่สมบูรณ์แล้ว พระองค์ทรงหนุนใจ ดลใจ และส่องสว่างใจของผู้เชื่อให้เข้าใจพระวจนะและดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟัง แต่ไม่ใช่โดยการสำแดงถ้อยคำใหม่หรือคำพยากรณ์อีกต่อไป ดังนั้น การกล่าวอ้างว่ามี “การเผยพระวจนะ” ที่ยังดำเนินอยู่ โดยเฉพาะในรูปแบบของคำพยากรณ์ใหม่ ๆ นั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่ยึดโยงกับพระคัมภีร์อย่างแท้จริง ตรงกันข้าม มันอาจบั่นทอนความเพียงพอของพระวจนะ และเบี่ยงเบนความสนใจของคริสตจักรไปจากรากฐานที่มั่นคงในพระคัมภีร์
คริสตจักรในวันนี้ไม่ต้องการ “ถ้อยคำใหม่” จากมนุษย์ แต่ต้องการการกลับไปสู่ถ้อยคำเก่าที่พระเจ้าทรงประทานไว้แล้วอย่างสมบูรณ์ผ่านทางพระคัมภีร์ และการทรงนำที่ชัดเจนจากพระวิญญาณผู้ส่องสว่างใจให้เราเข้าใจและดำเนินตามพระวจนะในพระคัมภีร์นั้น
ข้อคิดเชิงอภิบาลสำหรับผู้อ่าน และติดตามคำถามและข้อสังเกตจากผู้อ่านที่สนใจในเรื่องนี้ — ผู้เขียนเองก็เคยได้ยินคำกล่าวว่า “คำเผยพระวจนะตรงเป๊ะเลย” อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแน่นอนว่า เป็นเรื่องที่ควรนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง
ใคร่ครวญ 2 ประเด็นสำคัญ:
1. คำเผยนั้นพูดถึงอะไร แล้วมัน “สำเร็จ” อย่างไร — เพื่อให้เราเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าหรือเป็นความจริงฝ่ายวิญญาณที่สอดคล้องกับพระวจนะจริงหรือไม่
2. สิ่งที่เราวินิจฉัยว่า “มาจากพระวิญญาณ” — เราใช้หลักเกณฑ์อะไรในการตรวจสอบว่าสิ่งนี้เป็นจริงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่แค่อารมณ์ ความคิด หรือแม้แต่อิทธิพลจากปัจจัยภายนอก
พระคัมภีร์เตือนว่า “แม้ผู้เผยจะพูดถูก ก็ใช่ว่าจะมาจากพระเจ้า หากคำของเขานำให้ห่างจากความสัตย์ซื่อในพระเจ้า” (เฉลยธรรมบัญญัติ 13:1–3) — เราจึงต้องทดสอบวิญญาณ ไม่ใช่ยอมรับทันทีเพียงเพราะคำทำนายดู “ตรงเป๊ะ”
ใคร่ครวญร่วมกัน:
1. เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือสิ่งที่มาจากพระเจ้าอย่างแน่นอน
2. ถ้าคำนั้นขัดกับพระคัมภีร์หรือสร้างความสับสนในคริสตจักร เราจะตอบสนองอย่างไร
เกี่ยวกับผู้เขียน
ศจ.ดร. จันทร์สมร ชัยศักดิ์ (Professor of Religious Studies and Missiology) นักศาสนศาสตร์ และศาสนศาสตร์มิชชั่น จังหวัดอุบลราชธานี เป็นกรรมาธิการศาสนศาสตร์ และกรรมาธิการเสรีภาพทางศาสนา ของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย (Evangelical Fellowship of Thailand) และของสหกิจเอเชีย (Asia Evangelical Alliance) โดยมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาศาสนศาสตร์และความคิดริเริ่มด้านเสรีภาพทางศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ดร. จันทร์สมร ยังดำรงตำแหน่งนักศาสนศาสเอเชียของสหกิจโลก (World Evangelical Alliance) ด้วย ด้วยประสบการณ์ด้านศาสนศาสตร์และการเป็นผู้นำกว่า 30 ปี ดร. จันทร์สมร ได้เป็นผู้นำและอาจารย์สอนที่สถาบันการศึกษาและศาสนศาสตร์คริสเตียน โครงการพัฒนาชุมชน และการก่อตั้งคริสตจักรในประเทศไทยและลาว ดร.จันทร์สมร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก Doctor of Philosophy ด้านศาสนศานตร์และศาสนศึกษา จาก Evangelische Theologische Faculteit (เบลเยียม) และปริญญาเอก Doctor of Ministry ด้านศาสนศาสตร์มิชชั่นจาก Mid-America Baptist Theological Seminary (สหรัฐอเมริกา) และสำเร็จการศึกษาหลักสูตรการเป็นผู้นำขั้นสูงจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด Harvard University มหาวิทยาลัยเยล Yale University และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด Oxford University พร้อมกันนี้ ดร.จันทร์สมร ยังรับใช้เป็นกรรมการและวิทยากรประจำขององค์กรต่างๆ เช่น SEANET Missiological Forum และ Lausanne Movement’s Worldplace, World Evangelical Alliance, และ Asian Society of Missiology
💬 ร่วมแสดงความคิดเห็น: ร่วมสนทนาบน Facebook