เล่มที่ 2 ฉบับที่ 1 – พฤษภาคม 2025
พยากรณ์หรือการเผยพระวจนะได้หยุดลงแล้วหรือ: การปกป้องตามหลักพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์ต่อการยุติของการเผยพระวจนะเชิงการพยากรณ์
ผู้เขียน: ศจ.ดร. จันทร์สมร ชัยศักดิ์ (Professor of Religious Studies and Missiology) กรรมาธิการศาสนศาสตร์และคำสอน และกรรมาธิการเสรีภาพทางศาสนา ของสหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย และ ของสหกิจฯ เอเชีย Asia Evangelical Alliance | ประวัติผู้เขียนบทความ
วันที่: 4 พฤษภาคม 2025
บทคัดย่อ:บทความนี้สำรวจเหตุผลเชิงพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์ที่สนับสนุนการยุติของของประทานการเผยพระวจนะเชิงการพยากรณ์ (prophetic foretelling) ในยุคหลังอัครทูต โดยเสนอว่าการพยากรณ์—ที่หมายถึงการเปิดเผยความจริงใหม่จากพระเจ้าซึ่งมีอำนาจผูกพัน—ได้สิ้นสุดลงพร้อมกับการปิดฉบับของพระคัมภีร์ แต่การประกาศพระวจนะของพระเจ้าที่มีฤทธิ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (prophetic forthtelling) ยังคงดำเนินต่อไป บทความนี้ศึกษาข้อพระคัมภีร์สำคัญ เช่น เอเฟซัส 2:20, ฮีบรู 1:1–2 และ 1 โครินธ์ 13:8–10 เพื่อสนับสนุนมุมมองแบบยุติของประทานการพยากรณ์ (prophetic foretelling) บทความยังแยกแยะระหว่าง “การเผยพระวจนะ” ในฐานะการเปิดเผยใหม่ กับ “การทรงนำของพระวิญญาณ” ที่ยังดำเนินอยู่ในการทรงชี้แนะแนวทาง กระตุ้นใจ และส่งเสริมคริสตจักร นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงความเพียงพอของพระคัมภีร์ คำยืนยันในประวัติศาสตร์ของแนวคิดการยุติของประทานของประทานการเผยพระวจนะเชิงการพยากรณ์ (prophetic foretelling) และความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องของพันธกิจของพระวิญญาณผ่านการส่องสว่าง การเตือนใจ และการประกาศอย่างกล้าหาญ ท่าทีที่สมดุลนี้ยืนยันทั้งสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ และพลังชีวิตของพระวิญญาณที่ยังทรงทำงานอยู่ในคริสตจักรในปัจจุบัน
บทนำ
ในหมู่โปรเตสแตนต์แนวอีแวนเจลิคอล คำถามว่า “การพยากรณ์/การเผยพระวจนะ” ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันหรือไม่นั้น ได้ก่อให้เกิดประเด็นทางศาสนศาสตร์ที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องสิทธิอำนาจการเปิดเผย และการทรงกระทำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความจำเป็นเร่งด่วนประการหนึ่งคือการแยกแยะให้ชัดเจนระหว่าง “การเผยพระวจนะเชิงการพยากรณ์” (prophetic foretelling) — ซึ่งหมายถึงการได้รับความจริงใหม่จากพระเจ้าโดยตรง — กับ “การเผยพระวจนะเชิงการประกาศพระวจนะ” (prophetic forthtelling) — ซึ่งหมายถึงการประกาศความจริงที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยไว้แล้วในพระคัมภีร์ ด้วยความกล้าหาญและโดยการทรงนำของพระวิญญาณ
บทความนี้ยืนยันว่า การเผยพระวจนะเชิงการพยากรณ์ (foretelling) ได้ยุติลงแล้ว ในขณะเดียวกันก็ยังคงยืนยันอย่างมั่นคงในพันธกิจของพระวิญญาณที่ทรงกระทำอย่างมีชีวิตชีวาในคริสตจักร โดยทรงเสริมกำลัง การเผยพระวจนะเชิงการประกาศพระวจนะ (forthtelling) ทรงส่องสว่าง ทรงเตือนใจ และทรงชี้แนะแนวทางในชีวิตส่วนตัวและหมู่คณะ — ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจสูงสุดของพระวจนะที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว (จากนี้ไปผู้เขียนจะใช้ “การพยากรณ์” foretelling เพื่อกล่าวถึง “การเผยพระวจนะเชิงการพยากรณ์” และ “การประกาศพระวจนะ” forthtelling จะหมายถึง “การเผยพระวจนะเชิงการประกาศพระวจนะ” )
บทความนี้จึงสำรวจเหตุผลตามพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์ที่สนับสนุนแนวคิด การพยากรณ์เชิงการเปิดเผยใหม่จากพระเจ้า (foretelling) ได้สิ้นสุดลงแล้วนับตั้งแต่ฉบับของพระคัมภีร์เสร็จสิ้น ในขณะเดียวกัน การประกาศพระวจนะที่เสริมฤทธิ์โดยพระวิญญาณ (forthtelling) ยังคงมีอยู่อย่างทรงพลัง โดยอ้างอิงข้อพระคัมภีร์สำคัญ เช่น เอเฟซัส 2:20, ฮีบรู 1:1–2 และ 1 โครินธ์ 13:8–10 เพื่อนำเสนอกรอบแนวคิดของกลุ่มที่เชื่อว่าของประทานการพยากรณ์ (foretelling) การพยากรณ์ในฐานะการเปิดเผยพระวจนะใหม่ได้ยุติลงแล้ว
บทความยังชี้ให้เห็นถึงความเพียงพอของพระคัมภีร์ คำยืนยันในประวัติศาสตร์ของกลุ่มที่ยึดถือแนวคิดการยุติของของประทานการพยากรณ์ (foretelling) และความต่อเนื่องของพันธกิจของพระวิญญาณในด้านการทรงส่องสว่าง การเตือนใจ และการประกาศพระวจนะ (forthtelling) อย่างกล้าหาญ ท่าทีที่สมดุลนี้สามารถรักษาทั้งสิทธิอำนาจของพระวจนะ และพลังชีวิตแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ยังคงทรงสำแดงพระองค์ในคริสตจักรทุกยุคสมัย
รูปแบบของการเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ และข้อแยกแยะ
การเผยพระวจนะในพระคัมภีร์สามารถจำแนกออกเป็นสองรูปแบบหลัก ได้แก่
- การเผยพระวจนะเชิงการพยากรณ์ (Prophetic Foretelling) — คือการได้รับและประกาศการเปิดเผยใหม่โดยตรงจากพระเจ้า ซึ่งรวมถึง (1) การพยากรณ์หรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคต หรือ (2) การนำทางอย่างมีสิทธิอำนาจแก่คริสตจักร การเผยพระวจนะลักษณะนี้เป็น (1) แบบ “การเปิดเผยใหม่” นอกเหนือจากพระวจนะของพระเจ้าที่มีอยู่แล้วในพระคัมภีร์ (extra-biblical revelatory) และ (2) มีบทบาทเป็น “รากฐาน” (foundational) ของการสำแดงพระประสงค์ของพระเจ้าในยุคพระคัมภีร์
- การเผยพระวจนะเชิงการประกาศ (Prophetic Forthtelling) — คือการประกาศพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยไว้แล้วในพระคัมภีร์ โดยประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของผู้ฟัง ด้วยฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างลึกซึ้ง
กลุ่มอีแวนเจลิคอลที่เชื่อในแนวคิด “การยุติการพยากรณ์” (Cessationism) มิได้ปฏิเสธการเผยพระวจนะในทุกแบบ หากแต่เน้นว่าการเผยพระวจนะที่เป็นการเปิดเผยใหม่ (การพยากรณ์) จากพระเจ้าอย่างมีสิทธิอำนาจ (foretelling) ได้สิ้นสุดลงแล้ว สิ่งที่ยังคงอยู่คือการเผยพระวจนะเชิงการการประกาศ (forthtelling) ซึ่งทรงฤทธิ์เดชผ่านผู้ประกาศ ศิษยาภิบาล ครูสอนพระคัมภีร์ และผู้เชื่อ ที่ถ่ายทอดและประยุกต์ใช้พระคัมภีร์อย่างสัตย์ซื่อ พระวิญญาณยังคงตรัสอยู่ — ไม่ใช่โดยการเปิดเผยใหม่ แต่โดยการเตือนใจข้อพระคัมภีร์ กระตุ้นความจริงในใจ และทรงนำคริสตจักรด้วยพระสติปัญญาและพระกรุณา (อ้างอิง Vanhoozer, 2005; Grudem, 1994)
รากฐานพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์สำหรับการยุติของการผู้พยากรณ์/ผู้ทำนาย
เปาโลได้เขียนไว้ในเอเฟซัส 2:20 ฉบัน TNCV ว่า “ท่านได้รับการสร้างขึ้นบนฐานรากของเหล่าอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ” ( ฉบัน KJV กล่าวว่า “ ท่านได้ถูกประดิษฐานขึ้นบนรากแห่งพวกอัครสาวกและพวกศาสดาพยากรณ์” ) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบทบาทของ “ผู้เผยพระวจนะเชิงพยากรณ์” หรือ เพียง “ผู้พยากรณ์” ในคริสตจักรยุคต้นนั้นเป็นหน้าที่เชิงการเปิดเผยใหม่ (revelatory) และมีความสำคัญในเชิงรากฐาน เช่นเดียวกับอัครทูต บทบาทของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด แต่เป็นหน้าที่พิเศษในช่วงเวลาเฉพาะเพื่อวางรากฐานของความเชื่อเท่านั้น (Reymond, 1998) หากพยายามจะสถาปนาสำนัก (office) ของ “ผู้เผยพระวจนะ เชิงพยากรณ์” ขึ้นอีกในยุคหลังอัครทูต ก็จะเท่ากับเป็นการบ่อนทำลายความเพียงพอและความสำเร็จสมบูรณ์ของพระคัมภีร์ซึ่งเป็นการเปิดเผยที่เสร็จสิ้น ครบถ้วน สมบูรณ์และเพียงพอ เรียบร้อยแล้ว
ฮีบรู 1:1–2 กล่าวว่า “เมื่อก่อน พระเจ้าได้ตรัสกับบรรพบุรุษของเราทั้งหลาย โดยทางผู้เผยพระวจนะหลายครั้งหลายหนหลายอย่าง แต่ในยุคสุดท้ายนี้ พระองค์ได้ตรัสกับเราทั้งหลายโดยทางพระบุตร” ข้อนี้ยืนยันถึงความครบถ้วนและความเหนือกว่าของการเปิดเผยสุดท้ายจากพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งได้รับการจดบันทึกโดยพยานของอัครทูต การอ้างว่ามีการเปิดเผยใหม่จากพระเจ้าเพิ่มเติมหลังจากนั้น จะเสี่ยงต่อการ “เพิ่ม” บางสิ่งเข้าไปในพระวจนะที่ครบถ้วนแล้ว ซึ่งขัดแย้งกับหลักการของ “ความเพียงพอของพระคัมภีร์” (MacArthur, 2013)
1 โครินธ์ 13:8–10 ยังระบุเพิ่มเติมว่า “การเผยพระวจนะจะสิ้นสุดไป... เมื่อสิ่งที่สมบูรณ์มาถึง” แม้ว่าจะมีการตีความว่า “สิ่งที่สมบูรณ์” หมายถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์ แต่บางคนเข้าใจว่าเป็นการครบบริบูรณ์ของคริสตจักรพร้อมกับพระคัมภีร์ที่สมบูรณ์ ไม่ว่ามุมมองใดก็ล้วนชี้ให้เห็นว่า ของประทานการเปิดเผยพิเศษนั้นมีลักษณะชั่วคราว (Carson, 1987)
1 โครินธ์ 13:8–10 ยังระบุเพิ่มเติมว่า “การเผยพระวจนะจะสิ้นสุดไป... เมื่อสิ่งที่สมบูรณ์มาถึง” แม้ว่าจะมีการตีความว่า “สิ่งที่สมบูรณ์” หมายถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์ แต่บางคนเข้าใจว่าเป็นการครบบริบูรณ์ของคริสตจักรพร้อมกับพระคัมภีร์ที่สมบูรณ์ ไม่ว่ามุมมองใดก็ล้วนชี้ให้เห็นว่า ของประทานการเปิดเผยพิเศษนั้นมีลักษณะชั่วคราว (Carson, 1987) อย่างไรก็ตาม การที่ของประทานการพยากรณ์แบบเปิดเผยใหม่ (foretelling) ยุติลง มิได้หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์หยุดการงานของพระองค์ — ตรงกันข้าม พระองค์ยังคงทำงานในคริสตจักรอย่างทรงฤทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการสำนึกบาป (ยอห์น 16:8), การให้ความเข้าใจในพระวจนะ (1 โครินธ์ 2:12–14), การเสริมกำลังในการเป็นพยาน (กิจการ 1:8), หรือการนำผู้เชื่อในชีวิตส่วนตัวและส่วนรวม สิ่งที่สิ้นสุดลง คือ “การเปิดเผยใหม่ที่มีสิทธิอำนาจ” ไม่ใช่การทรงนำของพระวิญญาณ (Calvin, 2008)
การผู้เผยพระวจนะเชิงประกาศพระวจนะ (Prophetic Forthtelling) และพันธกิจของพระวิญญาณในปัจจุบัน
ความเพียงพอของพระคัมภีร์ (Sufficiency of Scripture) คือรากฐานสำคัญของศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์อีแวนเจลิคอล เปาโลได้กล่าวใน 2 ทิโมธี 3:16–17 ว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนเป็นที่ดลใจจากพระเจ้า และมีประโยชน์ในการสอน การตักเตือน การแก้ไข และการอบรมในความชอบธรรม เพื่อให้คนของพระเจ้าพร้อมสำหรับงานดีทุกอย่างอย่างครบถ้วน” ดังนั้น การกล่าวอ้างว่าคริสตจักรยังคงต้องการ “คำเผยใหม่” หรือ “การพยากรณ์ (ทำนาย) แบบทันสมัย” เพื่อการเสริมสร้างหรือการทรงนำ อาจกลายเป็นการบั่นทอนความครบถ้วนของพระคัมภีร์โดยทางปฏิบัติ
ในทางกลับกัน การผู้เผยพระวจนะเชิงประกาศพระวจนะ (forthtelling) — ซึ่งหมายถึงการประกาศและนำพระคำของพระเจ้าที่ได้ทรงเปิดเผยแล้วในพระคัมภีร์ มาใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบัน — ยังคงเป็นสิ่งสำคัญและมีชีวิตชีวาอยู่ในคริสตจักร นักเทศน์ ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และคริสเตียนทั้งหลาย ยังคงประกาศข่าวประเสริฐด้วยความกล้าหาญ เพราะพระวิญญาณยังทรงทำงานผ่านพระคำ (1 เธสะโลนิกา 1:5) การเทศนาอาจทำให้ “ความลับของจิตใจ” ถูกเปิดเผย (1 โครินธ์ 14:24–25) ไม่ใช่เพราะผู้เทศนาได้รับการเปิดเผยใหม่ แต่เพราะพระเจ้าทรงนำพระคำของพระองค์ไปสู่ใจของผู้ฟังอย่างแม่นยำ
การเจิมของพระวิญญาณ (unction) — คือการทรงสถิตและการเสริมกำลังของพระวิญญาณ — ยังคงมีอยู่ในชีวิตของผู้เชื่อทุกคน การเจิมนี้ไม่ได้หมายถึงการเปิดเผยใหม่ แต่หมายถึงการเสริมกำลังให้สามารถประกาศพระคำด้วยความกล้า มีการหยั่งรู้ฝ่ายวิญญาณ และดำเนินชีวิตในทางบริสุทธิ์ พระวิญญาณทรงเสริมกำลังให้มีการเผยพระวจนะเชิงประกาศพระวจนะ (prophetic forthtelling) มิใช่การเผยพระวจนะเชิงพยากรณ์หรือทำนาย (prophetic foretelling) เพื่อเสริมสร้างคริสตจักรผ่านการประยุกต์ใช้พระคัมภีร์อย่างสัตย์ซื่อ (1 เธสะโลนิกา 1:5)
พระวิญญาณยังทรงนำและผลักดันผู้เชื่ออยู่เสมอ แต่การทรงนำเหล่านี้ต้องอยู่ในลักษณะที่ไม่มีสิทธิอำนาจเทียบเท่าพระคัมภีร์ และจำเป็นต้องได้รับการทดสอบด้วยพระคำเสมอ (1 ยอห์น 4:1; โรม 8:14) พระวิญญาณทรงกระทำการเปลี่ยนแปลงฝ่ายจิตวิญญาณ และผลักดันพันธกิจข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ผ่านการแสดงฤทธิ์อำนาจอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ผ่านผลของพระวิญญาณและพันธกิจที่เน้นพระคำเป็นศูนย์กลาง (กาลาเทีย 5:22–23; กิจการ 1:8) ความเข้าใจในลักษณะนี้ ปกป้องความเพียงพอของพระคัมภีร์ และในขณะเดียวกัน ก็ยืนยันถึงพลังของพระวิญญาณที่ยังทรงทำงานอย่างแท้จริงในปัจจุบัน
ความเพียงพอของพระคัมภีร์และการปิดฉบับของพระคัมภีร์
ตลอดประวัติศาสตร์ของคริสตจักร นักศาสนศาสตร์หลักหลายท่านได้ยืนยันว่าของประทานฝ่ายอัครทูตและการพยากรณ์ (prophet foretelling) ได้สิ้นสุดลงแล้ว จอห์น คาลวิน (John Calvin) ได้กล่าวว่า ของประทานอัศจรรย์ “ได้สิ้นสุดไปนานแล้ว” และพระเจ้าไม่ทรงเลือกที่จะเปิดเผยพระองค์ในวิธีเดิมอีกต่อไป เพราะพระสัจจธรรมได้ถูกเปิดเผยไว้อย่างครบถ้วนในพระคัมภีร์แล้ว (Calvin, 2008) นักปฏิรูปศาสนา/นักศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์ (Reformers) ได้ปฏิเสธคำกล่าวอ้างใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเปิดเผยเพิ่มเติมใหม่ (prophetic foretelling) โดยยืนยันว่าพระคัมภีร์เท่านั้นคือพระวจนะของพระเจ้าที่มีสิทธิอำนาจ คำยืนยันนี้เป็นเสาหลักที่ยืนหยัดต้านการเผยนิมิตส่วนตัวอันล้ำลึกในยุคกลาง และข้ออ้างของคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่เชื่อในอำนาจนอกพระคัมภีร์
ในบริบทสมัยใหม่ หลายคนโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไปไม่ถึง รายงานว่าตนเองได้รับนิมิต ความฝัน หรือความประทับใจที่นำพาให้เขามาแสวงหาพระคริสต์ ผู้เชื่อในแนวความคิด “การสิ้นสุดของของประทาน” (cessationists) ไม่ได้ปฏิเสธว่าพระเจ้าสามารถทรงใช้ประสบการณ์เช่นนี้ตามพระประสงค์ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้ถูกเข้าใจว่าเป็น “การเปิดเผย” แต่เป็นวิธีเบื้องต้นที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อดึงคนมาสู่พระองค์ เช่นเดียวกับกรณีของโครเนลิอัสในกิจการบทที่ 10 ผู้ที่ได้รับความประทับใจจากพระเจ้าจะต้องได้รับฟังและเชื่อในข่าวประเสริฐ ผ่านทางพระคัมภีร์และคำพยานของคริสตจักรในท้ายที่สุด (โรม 10:14–17)
ในบริบทของคริสตจักรที่ยังตั้งมั่นไม่เต็มที่ หรือในพื้นที่ที่ยังไม่มีข่าวประเสริฐ บางคนเสนอว่า “ของประทานฝ่ายวิญญาณ” เช่น การพยากรณ์ ยังคง “จำเป็น” สำหรับการนำทางและการเสริมสร้าง แต่ในมุมมองพระคัมภีร์ ความ “จำเป็น” ไม่ใช่ตัวกำหนดว่าของประทานใดเป็นบรรทัดฐานสำหรับการปฏิบัติที่ปกติส ของประทานการพยากรณ์ (foretelling) ในยุคพันธสัญญาใหม่เป็นสัญญาณหรือเครื่องหมายที่มาพร้อมกับฐานรากของอัครทูต (ฮีบรู 2:3–4) เมื่อฐานรากถูกวางเสร็จแล้ว วิธีการนำทางหรือการปฏิบัติที่เป็นปกติของพระเจ้าก็เปลี่ยนไปสู่พระคัมภีร์ คริสตจักร และงานการชำระชีวิตโดยพระวิญญาณ (Reymond, 1998) พระเจ้ายังคงทรงกระทำอย่างทรงฤทธิ์ในปัจจุบันนี้ แต่เป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องกับสิทธิอำนาจของพระวจนะของพระองค์
การอัศจรรย์และเหนือธรรมชาติในยุคหลังการปิดฉบับพระคัมภีร์: การรักษาโรคและการเปลี่ยนแปลงชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ
คำถามทั่วไปที่มักยกขึ้นเพื่อต่อต้านแนวความคิดแบบ cessationism (การสิ้นสุดของของประทานในการเปิดเผยใหม่) คือ เราจะอธิบายเหตุการณ์การรักษาโรค การปลดปล่อยวิญญาณ หรือการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างเหนือธรรมชาติที่รายงานในปัจจุบันได้อย่างไร หากของประทานในการเปิดเผยได้สิ้นสุดลงแล้ว คำตอบจากมุมมองแบบ cessationist ที่มีความสมดุลคือ ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการอัศจรรย์เลย แต่ทำการแยกแยะระหว่าง พระราชกิจของพระเจ้าในเชิงการเลี้ยงดูและความเมตตา กับ การประทานของประทานฝ่ายเปิดเผยเพื่อยืนยันอัครทูตและเผยแพร่ข่าวประเสริฐในยุคก่อตั้งคริสตจักร
ของประทาน “การรักษาโรค” ในพระคัมภีร์ใหม่ (1 โครินธ์ 12:9) หมายถึงความสามารถที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทานให้แก่บุคคลเฉพาะ เพื่อรักษาโรคแบบซ้ำ ๆ อย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน เหตุการณ์เหล่านี้เป็น “หมายสำคัญ” ที่ยืนยันการรับใช้ของอัครทูต และพิสูจน์ความจริงของข่าวประเสริฐในช่วงเวลาการก่อตั้งคริสตจักร (ฮีบรู 2:3–4) ในทางตรงกันข้าม การรักษาโรคที่เกิดขึ้นในปัจจุบันควรเข้าใจว่าเป็นการตอบสนองของพระเจ้าต่อคำอธิษฐาน ด้วยพระเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า (ยากอบ 5:14–16) ไม่ใช่เป็นของประทานถาวรที่ประทานแก่บุคคลเฉพาะเสมอไป
การอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ยังดำเนินอยู่ในปัจจุบันนี้คือ “การบังเกิดใหม่” ของจิตวิญญาณมนุษย์ เมื่อคนบาปได้รับชีวิตใหม่ในพระคริสต์ พระวิญญาณทรงมอบชีวิตใหม่แก่เขา (เอเสเคียล 36:26–27) ปลดปล่อยจากอำนาจแห่งบาป (โรม 6:18) และสร้างลักษณะคล้ายพระคริสต์ในชีวิตของเขา (กาลาเทีย 5:22–23) การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ได้น้อยไปกว่าการอัศจรรย์ทางกายภาพ แต่เป็นเครื่องหมายของฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณที่ทรงกระทำผ่านทาง “วิถีธรรมดาแห่งพระคุณ” ได้แก่ พระคัมภีร์ การอธิษฐาน สามัคคีธรรม และข่าวประเสริฐ
พระราชกิจอัศจรรย์ การรักษาโรค และการเปลี่ยนแปลงชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณในปัจจุบัน
การหายโรคอย่างฉับพลันหรือการปลดปล่อยวิญญาณต้องได้รับการทดสอบและพิจารณาบนพื้นฐานของพระคัมภีร์ การการทดสอบควรเริ่มต้นด้วยคำถามดั่งนี้: เหตุการณ์เหล่านั้น ยกย่องพระคริสต์หรือไม่ สอดคล้องกับหลักข้อเชื่อหรือไม่ และ ส่งเสริมการประกาศข่าวประเสริฐหรือไม่ หรือในทางกลับกัน สิ่งเหล่านั้น ยกระดับตัวบุคคลหรือเบี่ยงเบนจากพระวจนะ
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงขัดแย้งกับพระองค์เอง พระองค์จะไม่ทรงนำผู้เชื่อให้ห่างจากพระวจนะซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้ดลใจ (2 ทิโมธี 3:16–17) และจะไม่ทรงกระทำในทางที่ขัดแย้งกับสาระของข่าวประเสริฐ ด้วยเหตุนี้ กรอบแนวคิดแบบ cessationist จึง ยืนยันอย่างเต็มที่ว่าพระเจ้ายังทรงรักษาและเปลี่ยนแปลงชีวิตอยู่ในปัจจุบัน สิ่งที่กรอบความคิดนี้ปฏิเสธคือ ความต่อเนื่องของของประทานอย่างการพยากรณ์หรือการรักษา ซึ่งเคยเป็น “ของประทานฝ่ายเปิดเผยที่มีฤทธิ์อำนาจ” ซึ่งทรงแจกจ่ายให้บุคคลเฉพาะเพื่อเป็นการรับรองและสนับสนุนพระกิตติคุณในยุคอัครทูต ในปัจจุบัน การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจึง ไม่ใช่ “หมายสำคัญแห่งอัครทูต” หรือ ช่องทางในการรับการ “เปิดเผย” ใหม่จากพระเจ้า แต่เป็น พยานหลักฐานถึงพระเมตตา ซึ่งสนับสนุนพันธกิจของคริสตจักร และยังคงเป็นพระราชกิจของพระเจ้าในฤทธิ์อำนาจฝ่ายจิตวิญญาณ
การประเมินการนิยามใหม่ของคำว่า ‘การพยากรณ์’ Prophecy โดยฝ่ายที่เชื่อว่าของประทานยังคงดำเนินอยู่
ผู้สนับสนุนแนวคิดของประทานต่อเนื่อง (Continuationism) เช่น ดร. David Lim, Wayne Grudem, Sam Storms และ Dennis Lum ได้พยายามนิยามคำว่า “การพยากรณ์” (prophecy) ใหม่ เพื่อให้สามารถคงไว้ซึ่งของประทานนี้ในยุคหลังอัครทูต ดร. David Lim แยกแยะคำสั่งสอนออกจากการพยากรณ์ โดยมองว่า “การพยากรณ์” คือข้อความที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันจากพระวิญญาณ ซึ่งเปิดเผยสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจรู้ด้วยตนเอง Grudem (1994) นิยามว่า การพยากรณ์คือ “การพูดถ้อยคำของมนุษย์ที่รายงานสิ่งที่พระเจ้าทรงใส่เข้ามาในใจ” Sam Storms อธิบายว่าเป็น “รายงานของมนุษย์ต่อการเปิดเผยของพระเจ้า” ส่วน Dennis Lum เน้นว่าการพยากรณ์เป็นเรื่องฉับพลันและมาจากพระวิญญาณ แตกต่างจากพระวจนะซึ่งมีสิทธิอำนาจสูงสุด
แม้นิยามเหล่านี้จะพยายามปกป้องเอกลักษณ์ของพระคัมภีร์ โดยอ้างว่าการพยากรณ์ยุคใหม่ไม่สมบูรณ์และไม่มีพันธะทางหลักข้อเชื่อ แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาหลายประการทั้งในด้านศาสนศาสตร์และในเชิงปฏิบัติ
- หนึ่ง พระคัมภีร์ไม่เคยบรรยายว่าการพยากรณ์เป็นสิ่งที่ “ผิดพลาดได้” หรือ “มีข้อผิดพลาด” ไม่ว่าในพันธสัญญาเดิมหรือพันธสัญญาใหม่ ผู้เผยพระวจนะต้องกล่าวคำที่ถูกต้องและเป็นจริง Agabus ในกิจการบทที่ 11 และ 21 ผู้เผยพระวจนะในอันทิโอก (กิจการ 13) และการสำแดงในหนังสือวิวรณ์ ล้วนถือเป็นการเปิดเผยที่มีสิทธิอำนาจ เลวีนิติ 18 กำหนดโทษรุนแรงต่อผู้เผยคำเท็จ และ 1 ยอห์น 4 เรียกร้องให้ทดสอบอย่างเข้มงวด ไม่ใช่เพียงแค่ “รับฟังอย่างเปิดใจ”
- สอง การกล่าวว่าการเปิดเผยจากพระวิญญาณอาจปะปนด้วยความผิดพลาดของมนุษย์นั้น ขัดแย้งกับแนวคิดของ “การเปิดเผยจากพระเจ้า” โดยตรง เพราะหากพระวิญญาณทรงเปิดเผยสิ่งหนึ่งแล้ว สิ่งนั้นย่อมไม่อาจผิดพลาดได้ การพยายามแยกแยะ “การพยากรณ์ในพันธสัญญาใหม่” ออกจากพันธสัญญาเดิมของ Grudem จึงไร้หลักฐานในพระคัมภีร์และเสี่ยงต่อปัญหาในเชิงศาสนศาสตร์และการอภิบาลคริสตจักร
- สาม การนิยามใหม่เช่นนี้บั่นทอนหลัก “ความพอเพียงของพระคัมภีร์” หากคริสเตียนต้องแสวงหา “ถ้อยคำส่วนตัวจากพระเจ้า” เพื่อจะรู้พระประสงค์หรือรับการหนุนใจ นั่นย่อมแสดงว่า พระคัมภีร์ยังไม่สมบูรณ์ในทางปฏิบัติ ซึ่งขัดกับหลักการของศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์
- สี่ งานของพระวิญญาณใน “การส่องสว่าง” และการนำผ่านคำเทศนาและการเป็นสาวกที่เปี่ยมด้วยพระวิญญาณ ก็เพียงพออยู่แล้วในการตักเตือน เปิดโปงความผิด และเสริมกำลังใจ (1 โครินธ์ 14:24–25; 2 ทิโมธี 3:16–17) เราไม่จำเป็นต้องนำเอาการพยากรณ์แบบใหม่ที่ผิดพลาดได้มาเสริมงานของพระเจ้า
- ห้า ผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาใหม่มีบทบาทที่ชัดเจนและจำกัดอยู่ในยุคฐานรากของคริสตจักร (เอเฟซัส 2:20) เมื่อบทบาทนั้นสิ้นสุดลง พร้อมกับการปิดของพระคัมภีร์ การดำรงอยู่ของหน้าที่นี้ก็สิ้นสุดไปเช่นกัน สรุปคือ การพยากรณ์แบบเผยความจริงใหม่จากพระเจ้า (foretelling) ได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ในประวัติศาสตร์แห่งการทรงไถ่ ส่วนการ “ประกาศถ้อยคำ” ที่มีอยู่เดิม (forthtelling) ซึ่งได้รับฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณ ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเต็มกำลัง
บทสรุป: พระวิญญาณยังตรัสอยู่ — โดยทางพระวจนะ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงทรงสำแดงพระองค์อย่างทรงพลังในการทรงนำ ชำระ และเสริมกำลังคริสตจักร พระองค์ทรงนำความสำนึกผิดในใจ (ยอห์น 16:8) ทรงส่องสว่างพระวจนะให้เข้าใจ (1 โครินธ์ 2:12–14) ทรงเสริมกำลังพันธกิจ (กิจการ 1:8) และทรงดลใจให้เกิดการทรงเรียกและการเชื่อฟังในชีวิตของผู้เชื่อ การหายโรคเหนือธรรมชาติ ความรู้สึกภายในจิตใจ และการนำในเชิงการจัดเตรียมจากพระเจ้าอาจยังคงเกิดขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ต้องเข้าใจว่าเป็นการกระทำของพระเจ้าในแผนการแห่งพระเมตตาผ่านทางการทรงนำ ไม่ใช่การดำเนินต่อของของประทานการเปิดเผย หรือพยากรณ์ (prophecy) แบบอัครทูต
แนวคิดการยุติของประทานการพยากรณ์ (cessationism) ไม่ได้หมายถึงการเงียบเสียงของพระวิญญาณ—แต่คือการนบนอบต่อพระสุรเสียงของพระองค์ที่ได้ตรัสไว้แล้วอย่างเพียงพอในพระคัมภีร์ม้วนสุดท้าย ซึ่งปกป้องเราจากการหลอกลวงทางจิตวิญญาณ ความสับสนทางศาสนศาสตร์ และการเน้นประสบการณ์จนเกินพอดี ขณะเดียวกัน ก็ยังยืนยันถึงฤทธิ์อำนาจและการทรงสถิตของพระวิญญาณในทุกด้านของชีวิตคริสเตียน คริสตจักรในปัจจุบันไม่ได้ขาดการเปิดเผยใหม่—แต่ต้องการการพึ่งพาพระวจนะที่ได้ตรัสไว้แล้วอย่างสดใหม่ และการทรงส่องสว่างของพระวิญญาณที่ทำให้ถ้อยคำของพระเจ้ามีชีวิต
บรรณานุกรม
- Calvin, J. (2008). Institutes of the Christian Religion (H. Beveridge, Trans.). Hendrickson Publishers. (Original work published 1536)
- Carson, D. A. (1987). Showing the Spirit: A Theological Exposition of 1 Corinthians 12–14. Baker Academic.
- González, J. L. (2010). The Story of Christianity: Volume 1. HarperOne.
- Grudem, W. (1994). Systematic Theology: An Introduction to Biblical Doctrine. Zondervan.
- MacArthur, J. (2013). Strange Fire: The Danger of Offending the Holy Spirit with Counterfeit Worship. Thomas Nelson.
- Reymond, R. L. (1998). A New Systematic Theology of the Christian Faith. Thomas Nelson.
- Strange, D. (2015). Plugged In: Connecting Your Faith with What You Watch, Read, and Play. Good Book Company.
- Vanhoozer, K. J. (2005). The Drama of Doctrine: A Canonical-Linguistic Approach to Christian Theology. Westminster John Knox Press.
💬 ร่วมแสดงความคิดเห็น: ร่วมสนทนาบน Facebook